ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอน : รัก ให้ อะ ไร ?

                                              


กลอน : รัก ให้ อะ ไร ?

      รักอะไรในกัน ?        รักเพื่อสนองตัณหาอารมณ์ ?
เพื่อระบายกามารมณ์ ?      เพื่อชโลมรักษาแผลใจ ?

      เมื่อตัณหาสงบ         เมื่อพานพบคนหน้าใหม่
เมื่อมั่นคงภายใน             เมื่อไร...รักย่อมจืดจาง

      รักความดีของคน       รักตัวตนกุศลสร้าง
รักกรรมงามกระจ่าง           รักมิร้างสร้างสุขใจ

      หากไม่รู้จัก " รัก "       รักสมัคร " รักเล่น - เหลวไหล "
ทำตามอำเภอใจ                รักจักทำ " ร่ำไห้ " เอย ฯ

๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

กลอนเปล่า : การดำรงอยู่ ของ ชีวิต จิตใจ




กลอนเปล่า : การดำรงอยู่ ของ ชีวิต จิตใจ

ชีวิต ดำรงอยู่ได้ด้วย      เวลา อาหาร และลมหายใจ
       มั่นคงอยู่ได้ด้วย     สุขภาพ
        เติบโตเพราะ        การวางแผนและสร้างสรรค์
        งดงามด้วย           การจัดการกิจกรรม
         มีคุณค่าด้วย        การทำประโยชน์แก่คนหมู่มาก

จิตใจ ดำรงอยู่ได้ด้วย      ความใฝ่ฝัน และความหวัง
       มั่นคงอยู่ได้ด้วย      การประสบความสำเร็จ
        เติบโตเพราะ         ความรัก กำลังใจ และการดูแลเอาใจใส่
        งดงามด้วย           ศีลธรรม
        มีคุณค่าด้วย         การอบรมขัดเกลา ฯ

๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

กลอน ดอก สร้อย : อด เอ๋ย อด ทน

               
                                 
กลอน ดอก สร้อย : อด เอ๋ย อด ทน


      อดเอ๋ย อดทน........                   กรรมกุศล งดงาม ธรรมยิ่งใหญ่
ขจัดบาป สาปสิ้น จากจินต์ไป             นำจิตใจ เข้มแข็ง กล้าแกร่งการณ์

      อดทนเพียร เรียนรู้ สู้ศึกษา           ได้วิชา หากิน ชีวินศานต์
มีฐานะ มั่นคง จงสู้งาน                       อย่าเกียจคร้าน อดทน ผลได้ดี

      อดทนรอ บรรลุ สู่เป้าหมาย           สงบใจ คลายเย็น เป็นสุขี
อย่ารีบร้อน ถอนใจ ไม่ได้ดี                  อย่าให้มี โทสะ จะเสียการ

      อดทนความ ลำบาก แสนยากเข็ญ   มองเหมือนเป็น ฝึกฝน กมลฐาน
อุปสรรค ปัญหา อย่าลนลาน                 ค่อยคิดอ่าน สรรค์แส แก้คลี่คลาย(แส=สะสาง)

      อดทนความ ผิดหวัง ปล่อยวางหนอ  อย่าทดท้อ ต่อเติม เสริมเรื่องหลาย
ทำเรื่องเล็ก เร่งรุน จะวุ่นวาย                  ทำเรื่องใหญ่ ให้กลายเล็ก อเนกคุณ

      อดทนรอ ชีวิต วิจิตรสร้าง                พินิจร่าง วางแผน อย่าแล่นผลุน
อนาคต สดใส ตั้งใจจุน                         กุศลกูล สุนทาน ขยันไป

      อดทนสู้ อกุศล กลยั่วยุ                  อย่านอกลู่ ทุร์นอกทาง พลั้งเหลวไหล
สิ่งบันเทิง เหลิงหลง คงวอดไว               ข่มจิตใจ เข้มแข็ง แกร่งอดทน

      เกิดเป็นคน ทนได้ ไม่สิ้นสุด             เป็นมนุษย์ สุทธา ละอกุศล
เป็นคนดี ได้ดี นิรมล                            ความอดทน ผลเลิศ ประเสริฐเอย ฯ

๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓       

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอน : ไม่ ทาบ ทุกข์.....ไม่ ผูก พัน



กลอน : ไม่ ทาบ ทุกข์.....ไม่ ผูก พัน


      เหมันต์นี้ มิเหน็บหนาว หนาวไปไหน ?    ใครต่อใคร ข้องใจคิด ติดกังขา
ฤาโลกร้อน บั่นทอนจน วิกลมา                    ลม-ฝน-ฟ้า วิปริต ผิดสำแดง

      แม่น้ำใหญ่ เคยไหลเชี่ยว โล่งเปลี่ยวเปล่า   ลำธารเชาว์ ภูเขาชื้น พลันหืนแห้ง(เชาว์=เร็ว)
ฝนห่างหาย ลมร้ายลู่ พายุแรง                     ร้อนแร้นแผลง แล้งพิษผล คนพร่าพาล

      หลายเรื่องร้าว เคล้าเคืองขุ่น ทารุณจิต     เอาแต่คิด ติดเครียดแค้น แสนสงสาร
อยากจะลืม ลืมให้หาย ไปจากมาน                แต่ยิ่งจ้าน ยิ่งจดจำ กรำฤดี

      จะดีกว่า ถ้าทำใจ ไม่พันผูก                   ไม่ทาบทุกข์ ถูกอดีต ติดหมองศรี
มองทางไกล ไปข้างหน้า กล้าชีวี                  ไม่ต้องมี อดีตคล้ำ จ้ำเจียนใจ

      แล้วเรื่องเศร้า ราวโลกสิ้น พลันผินสุด       ไม่โผล่ผุด มาฉุดพลั้ง รั้งร่ำไห้
แม้คิดถึง ไม่ขึ้งผิด จิตอำไพ                         หาใส่ใจ ปล่อยไหลผ่าน สำราญเอย ฯ

๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอนเปล่า : แม้จะรู้....แต่ว่ารักทำให้...




กลอนเปล่า : แม้จะรู้....แต่ว่ารักทำให้...

แม้จะยังไม่รู้ว่าความรักนั้นคืออะไร...
แต่เมื่อหัวใจของฉันมันบอกว่า...รักเธอ....
ฉันก็ไม่อาจพร่ำเพ้อละเมอรักใครคนใดได้อีก...

แม้จะรู้ว่าความรักไม่มีชีวิต....
แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเธอ....
ฉันก็เห็นเสมอว่าความรักของฉันเติบโตทุกวินาที....

แม้จะรู้ว่าความรักไม่ใช่อาหาร....
แต่เมื่อความรักของฉันเบ่งบาน....
ฉันก็ไม่รู้สึกว่าอยากอาหารอีกต่อไป....

แม้จะรู้ว่าความรักไม่ใช่น้ำ....
แต่เมื่อความรักรุ่มรื้นชื่นฉ่ำ....
พลันช่วยชำระล้างหัวใจของฉันให้ใสสะอาด....

แม้จะรู้ว่าความรักไม่ใช่เหล็กไหล....
แต่เพราะความรักของฉันยิ่งใหญ่...
ทำให้ฉันไม่เกรงกลัวภัยอันตรายใดๆอีกแล้ว....

แม้จะรู้ว่าความรักไม่ใช่ดวงอาทิตย์....
แต่ความรักของฉันช่างแสนวิจิตร....
ทำลายความมืดมิดในชีวิตฉันและสรรค์แสงแจ้งกระจ่าง....

แม้จะรู้ว่าความรักไม่มีแขน....
แต่ในอ้อมกอดอันแนบแน่นจากหัวใจของเธอ....
ทำให้ฉันรู้สึกเสมอถึงความอบอุ่นละมุนละไม...

แม้จะรู้ว่าความรักไม่ต้องการอาหาร....
แต่รักของฉันยังต้องการ...
ความหมั่นดูแลเอาใจใส่จากหัวใจของเธอ....

แม้จะรู้ว่าความรักไม่มีปีก....
แต่เมื่อได้รักเธออย่างไม่อาจเลี่ยงหลีก....
ความรักเสียอีกที่บันดาลให้หัวใจของฉันบินได้ไปไกลแสนไกล.....


แม้จะรู้ว่าชีวิตย่อมมีที่สุด....
แต่ความรักของฉันที่มีต่อเธอเลอรองผ่องผุด....
บริสุทธิ์ดุจกาลเวลาอันไม่มีคำว่าสุดสิ้น......

แม้ชีวิตของฉันมีค่าแค่ธุลีดิน....
แต่ความรักของฉันนั้นงามประทิน....
จนสินทรัพย์ทั้งสิ้นในโลกาหาค่ามิได้.....

แม้รู้ว่าความรักไม่ใช่พระเจ้า....
แต่เมื่อฉันได้รักเธอเข้า.....
ฉันก็รู้ว่าพระเจ้าสร้างชีวิตขึ้นมาอย่างไร....และเพื่ออะไร....

ที่รัก.....
ฉัน...รัก...เธอ....

๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอน : ความชอบของเขา กับ ชีวิตของเรา





กลอน : ความชอบของเขา กับ ชีวิตของเรา


      ความเห็นของคนอื่น          ย่อมเกิดขึ้น ในสมองของเขา
แต่เมื่อพูดถึงเรา                     ใยกลับต้องเอามาคิดคำนึง

      ความชื่นชอบของเขา         ควรหรือเรา เอามาตราตรึง
ปล่อยเขาให้เฝ้ารำพึง               ดันดึงในความชอบของเขาเอง

      ความคิดเห็นของเรา           จึงควรเอามาเหลียวเล็ง
ดี / ชั่ว ด้วยตัวเราเอง                ถูก / ผิด เพ่ง ตามคติธรรม

      ความชื่นชอบของเรา          สมควรเอา มากำหนดจดจำ
รักษาสิ่งที่ดีงำ                       กำจัดสิ่งทรามนำออกจากใจ

      ดูแลชีวิต                         ดูแลความคิดจิตใจ
ดูแลใส่ใจ                              อย่าให้สกปรกรกรุงรัง

      แล้วจะพบความสงบ           พบแสงแห่งความสะพรั่ง
พบว่าชีวีมีหวัง                         หนทางข้างหน้าสดใส ฯ

๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

กลอนเปล่า : เมื่อไม่รู้ ย่อมไม่ทำ



กลอนเปล่า : เมื่อไม่รู้ ย่อมไม่ทำ



เมื่อไม่รู้สึกหิว                ย่อมไม่อยากกิน

เมื่อไม่รู้สึกง่วง               ย่อมไม่อยากนอน

เมื่อไม่รู้สึกสนุก              ย่อมไม่อยากเล่น

เมื่อไม่รู้เห็นว่าขาด          ย่อมไม่ปรารถนาจะมี

เมื่อไม่รู้สึกว่าหลงวิถี        ย่อมไม่คิดที่จะเดินให้ถูกทาง

เมื่อไม่รู้สึกโง่                 ย่อมไม่แสวงหาความรู้กระจ่าง

เมื่อไม่รู้สึกผิด                ย่อมไม่คิดทำให้ถูก

เมื่อไม่รู้สึกตัวว่าทราม       ย่อมไม่คิดทำความดี

เมื่อไม่รู้ว่าตัวเป็นคนดี       ย่อมวิตกกังวลกระวนกระวาย ฯ

๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

กลอน : มีศีล มีสุข...ไร้ศีล ไร้สุข



กลอน : มีศีล มีสุข...ไร้ศีล ไร้สุข

      เสียงไก่ขัน สรรค์สาง สร้างแสนสรวง        อรุณล่วง ปวงวิหค โศลกสลอน
อีแพรกกล้า อีกาก้อง ดั่งท่องกลอน                เขาคูอ้อน อ่อนหวาน ประสานมา

      ตีนเป็ดออก ดอกนวล อวล อบกลิ่น           ลมโชยชิน รินหนาว เช้าหมอกหนา
อรุโณทัย ไสแสง สำแดงดา                          บอกอำลา รติกาล พบกันใหม่

      มีปัญญา รักษาศีล ไม่วิ่นขาด            กรรมสะอาด ปราศจากโทษ ปลดสาไถย
 ไม่เอาเปรียบ เหยียบย่ำ ทำร้ายใคร                ผุดผ่องใจ ใสส่อง ว่องวิญญาณ์

      เมื่อมิพร่ำ ทำผิด คิดมุ่งร้าย                     สบายใจ หายห่วง ปวงปัญหา
ไม่เร่าร้อน นอนหลับ สรรพนิทรา                    ตื่นเช้ามา รับอรุณ อบอุ่นใจ

      บรรดาพาล หมั่นคิด ทำผิดศิล                 จำนัลจินต์ บิ่นบาป กรรมสาปไส
มุ่งเอาเปรียบ เหยียบกล้ำ ทำร้ายไกร               มัวหมองใน ใจหม่น ปานสนธยา

      บาปบันดาล กาฬกลับ รับทุกข์เข็ญ            ต้องลำเค็ญ เป็นทุกข์ คลุกปัญหา
ใจร้อนเร่า ผ่าวดิ้น สิ้นปัญญา                          เที่ยววิ่งร่า หาใคร ให้ช่วยที

      ตัวทำบาป สาปตน ทนทุกข์ถอง                ใครอาจป้อง ปกให้ ไร้หมองศรี
ได้แต่ตรม ก้มหน้า น้ำตามี                             ตามวิถี ธรรมชาติ สัจธรรม

      ใครรักตัว กลัวทุกข์ ฉุกคิดเถิด                   ศีลประเสริฐ เจิดจ้า อย่าแคลงขำ
เว้นเบียดเบียน เคียนใคร่ ใครระกำ                    หนทางงาม นำสุข พ้นทุกข์เอย ฯ

๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอนเปล่า : ความรัก และ เหตุผล



กลอนเปล่า : ความรัก และ เหตุผล

จิตใจ เป็นส่วนที่ปรุงแต่งความรู้สึก อารมณ์ และสุนทรียะ
สติปัญญา เป็นส่วนที่ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-เรียนรู้-สร้างสรรค์

ความรัก จึงเกิดจากการปรุงแต่งของจิตใจ
ความรัก มิใช่การครวญใคร่ของสมอง / สติปัญญา
ความรัก จึงปราศจาก แก่นสารสาระ และเหตุผล

เหตุผล เกิดจากกระบวนการนึกคิดของสมอง / สติปัญญา
เหตุผล เป็นผลของการใช้วิจารณญาณ -วิเคราะห์-วิจารณ์
เหตุผล จึงไร้อารมณ์และสุนทรียะ

ความรัก ที่ไร้เสียซึ่งสติปัญญาประกอบ
จะเป็นความรักที่ขาดการใช้วิจารณญาณ
จะเป็นความรักที่ขาดการยับยั้งชั่งใจ
จะเป็นความรักที่ขาดความเหมาะสม-พอดิบพอดี
จะเป็นความรักที่ขาดการควบคุม
จะเป็นความรักที่มืดบอด

ย่อมมิต่างจาก ว่าวซึ่งขาดหลุดจากสายป่าน
ย่อมมิต่างจาก เรือที่ขาดพายและหางเสือ
ย่อมมิต่างจาก เมฆาที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า

สติปัญญา ที่ไร้ซึ่งจิตใจเกื้อหนุน
ย่อมหนักแน่นด้วยแก่นสารสาระและเหตุผล
ย่อมปราศไร้ไปจากรสหวาน อันอบอวลด้วยความรัก
ย่อมปราศจากความซาบซึ้งของสุนทรียภาพ
ย่อมขาดความเอื้ออาทรอ่อนโยนละมุนละไม
ที่ก่ายเกี่ยวออกมาจากสายใยแห่งความรัก
ย่อมไร้สีสันบรรเจิดเพริศพิไล จากสายธารแห่งสุนทรียะ

เหตุผล จึงเปรียบเสมือนโครงสร้าง
ที่ค้ำจุนความรักให้แข็งแรง มั่นคง ทนทาน และปลอดภัย

ความรัก จึงเปรียบเสมือนเครื่องประดับประดาตกแต่งเติมเสริม
ให้เหตุผล อ่อนโยน นุ่มนวล สวยงามและสมบูรณ์

โลกที่ไร้ความรัก ย่อมไม่น่าอยู่
โลกที่ไร้เหตุผลย่อมไม่มีอนาคตที่สดใส ฯ

๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอน : แสงทอง แสงธรรม



กลอน : แสงทอง แสงธรรม

      รุ่งอรุณ พูนพอก พรางหมอกขาว                  ฤดูหนาว เช้าตรู่ ดูรมย์รื่น
กายหนาวเหน็บ เสพสั่ง แต่กลางคืน                      ยังคงชื้น ครื้นหนาว เข้าซ่านทรวง

      แสงสุวรรณ สัญญา สุราลักษณ์                  เรืองรองพักตร์ เพียงเห็น เย็นหายหวง
แสงอรุณ รัศมี มิรุจลวง                                      ซาบอาบทรวง ล่วงหนาว ผ่าวฤทัย(รุจ=แสงสว่าง)

      ยามปัญหา ถาโถม ระบมบั่น                          ให้อัดอั้น ศัลย์โศก วิโยคไส
หลายปัญหา ถาทึ้ง รำพึงรำไร                              โหยหวนไห้ ใจเจ่า เศร้าโศกตรม

      เพียงมีใคร ใกล้ชิด สนิทรู้                              เป็นเพื่อนอยู่ ดูแล แม้มิสม
ปัญหาใหญ่ กลายเยาว์ เบาระบม                           ทุกข์โศกตรม ล่มลด สลดลาง

      แม้นสมเด็จ พุทธองค์ ทรงนิพพาน                   พุทธกาล ผ่านพ้น ล้นพ้นสาง
อริยสงฆ์ หลงหาย ไร้อำพราง                               พุทธธรรม งามสล้าง ยังอยู่ยง

      เพียงตั้งใจ ศึกษา สิกขาบท                    พุทธพจน์ ปลดเปลื้อง เรื่องร้ายหลง
ขัดเกลาใจ ไกลเปรต กิเลสปลง                             สันดานดง ตรงดัด ด้วยสัทธา

      ศีลสมาธิ ปัญญา ชะล้างไล้                            สะอาดใส ใจส่อง รองรักษา
สุจริต จิตจง ยงวิญญาน์                                      วิริยา ละบาป ตราบชีวิน

      คนเดียวกัน ผันแปร แลคนใหม่                       ผุดผ่องใส ใครเห็น เป็นส่องผิน
เห็นความดี มีงาม ประจำจินต์                               ไร้มลทิน หินชาติ สะอาดเอย ฯ

๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โคลงสี่สุภาพ : รักจริงไม่อิงอ้างใดใด




โคลงสี่สุภาพ : รักจริงไม่อิงอ้างใดใด


๑. รักจริงไม่อิงอ้าง........................เวลา
ยงหยั่งฝังโลกา...........................คู่ฟ้า
ไม่เสื่อมทรามชรา........................เยาว์ใหญ่
ร่างวายรักว่อนว้า.........................สาปสิ้นดินสลาย ฯ

๒. รักจริงไม่อิงอ้าง........................ทางไกล
แยกห่างอยู่อย่างไร.....................สุดหล้า
รักมั่นปานฤทัย...........................แนบอยู่
เคียงคู่ใจจรัสจ้า..........................เจิดแจ้งแสง(รุ่ง)สาง ฯ

๓. รักจริงไม่อิงอ้าง.........................เหตุการณ์
ถึงยากลำบาก..บาล......................บ่นใบ้
ดูแลผิพิการ...............................เจ็บป่วย
เสมอตนปรนให้............................ปราบเปลื้องภัยพาน ฯ

๔. รักจริงไม่อิงอ้าง..........................ศาสนา
รักเยี่ยงเพียงสัทธา........................แน่แท้
รักมั่นสรรสิกขา.............................ประสิทธิ์
รักเทิดประเสริฐแล้........................ล่วงล้ำคำสอน ฯ

๕. รักจริงไม่อิงอ้าง..........................ประเพณี
รักงามธรรมเนียมมี........................มอบให้
อุบัติก่อนลัทธี..............................จารีต ใดๆ
ศักดิ์สิทธิ์กว่าเทพไท้.....................หมู่ฟ้าพรหมินทร์ ฯ

๖. รักจริงไม่อิงอ้าง...........................ชั้นชน
รักงามกำแพง-พล..........................พ่ายแพ้
รักทอดรอดค่ายกล.........................กองศึก
รักผนึกลึกลาดแล้...........................ล่วงชั้นวรรณะ ฯ

๗. รักจริงไม่อิงอ้าง..........................ชาติพันธุ์
สูงต่ำดำขาววรรณ..........................บั่นเว้น
ต่างสำเนียงต่างปัน........................รักป่าย
ภาษารักล่ามเร้น............................ถ่ายถ้อยหทัย ฯ

๘. รักจริงมิอิงอ้าง............................ใดใด
รักเจตน์เหตุผลใจ..........................ไขว่คว้า
รักเพริศเพราะรักใคร.......................คนอื่น
รักตนยลหม่นล้า............................กว่าล้นรักเขา ฯ

๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอน เปล่า : จันทร์ดวงเดียวกัน..ใยแตกต่างกัน




กลอน เปล่า :จันทร์ดวงเดียวกัน ใยแตกต่างกัน..

พระจันทร์...ดวงเดียวกัน...
ลอยคว้าง..กลางเวหน...ไกลโพ้น...ผืนเดียวกัน...
มองจากโลก..ใบนี้...ใบเดียวกัน....
แต่ใยจึงแตกต่างกัน....ปานคนละดวง....
บรรยากาศรอบข้างทั้งปวง...
ล้วนล่วงสู่ความแตกต่าง....อย่างสิ้นเชิง

ยามใด...ได้ยลดวงจันทร์...
จากบรรพตโขดเขาลำเนาไพร....
จันทร์เพ็ญ..ช่างเย็นใส...ไร้มลทิน...
บริสุทธิ์ดุจไม่เคยสูญสิ้น...ความบริสุทธิ์...
ซึมซาบอาบใจ..ให้ประดุจ..พิสุทธา
ทั่วสรรพางค์กาย....
ชโลมหัวใจให้เอิบอิ่ม....
จันทร์เพ็ญเย็นพริ้ม...ยิ้มละไม...
เกินกว่าที่ใจ...จะตัดไปให้จำจากจร....

ยามใด...ได้ยลจันทร์...
จากบ้านเกิด...อันแสนอบอุ่น....
จันทร์เพ็ญ..เย็นใสให้ความสมดุล....
สมบูรณ์...บริสุทธิ์..แม้ในยามข้างแรม..
จันทร์เยือนเดือนแย้ม...
แฉล่มแช่มช้อย...
มิด่างพร้อย..ราวร้อยรวยด้วยมนตรา...
ให้บังเกิดความสัทธาในชีวิต....
ให้เกิดคิดที่จะได้ดูแลใครเพิ่มเติม...

ยามใด...ได้ยลจันทร์....
กับใครคนนั้น...ที่รู้ใจ....
จันทร์เพ็ญ..เย็นใส...ใยกลายกลับปรับเปลี่ยนสี...
มาดแม้นมี..คือสีชมพูอ่อน...
แม้ว่าจะย้อนดูอยู่ด้วยกัน..นานสองคน...
จันทร์แรม..แย้มยลดลเต็มใบ....
ดูมิได้แร้นไร้ความใสวสว่าง....

หากมิเอ่ยอ้างอย่างวิกล...
หากแม้นแร้นจันทร์ไป...ในบัดดล...
แต่กมลยังยลเห็น...เพ็ญจันทร์...มั่นฤทัย...
เพียงเพราะว่าในหัวใจ....
มีใคร....
ใครคนนั้น..ที่รู้ใจ...
ใครคนนั้น...ที่มั่นใจ...
ใครคนนั้นที่ไว้วางใจ....
เคียงคู่อยู่ข้างกาย....
คล้ายจันทร์จล...

ยามใด...ได้ยลจันทร์....
ในคืนอันขื่นคั้น....เพราะรักพรากจำจากจร...
จันทร์เพ็ญ...เย็นรอนทอนฤทัย...
ในยามที่เธอห่างไกล....
ลับหาย..ไปจากชีวี....
แม้จันทร์งามในยามนี้....
ยังดูมีสีเศร้า...
ดุจเดียวกับ....
หัวใจอันปวดร้าว....เปล่าเปลี่ยว...เที่ยวระทม...

แสงจันทร์...ปานชโลม..ด้วยหยาดน้ำตา...
ท้องนภาเศร้าโศกวิโยคยิ่ง....
แม้ตั้งกายไม่ไหวติง....
แต่หัวใจ.ใยวิ่งกลิ้งกลทุรนทุราย...
สั่นคลอนอ่อนไหวคล้ายจะถล่ม...
สุดที่จะข่มใจ...สงบไว้ให้เป็นปกติ...
เกินที่จะเหนี่ยวรั้ง...ยั้งฤดีให้ตรงอยู่...
จันทร์งามดั่งทรามสู่...ดูเศร้าสร้อย...
มิน้อยไปกว่าหทัยแห่งข้าฯ....
ผู้ปราชัยให้แก่ความรัก....

จันทร์ดวงเดียวกัน....ใยต่างกัน...ฯ

๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กาพย์ฉบัง ๑๖ : ความรัก คืนลอยกระทง



กาพย์ฉบัง ๑๖ : ความรัก คืนลอยกระทง


๏  ต้นพญาสัตตบรรณ                   ยืนเหยียดเสียดทัน
สายลมแดดฝนร้อนเข็ญ

๏  ดอกบานหอมหวนยวนเย็น          ท่วมท้นต้นเห็น
สีขาวนวลผ่องยองใย

๏  หอมกลิ่นกำจรกำใจ               ไปไกลแสนไกล
ชวนชื่นรื่นรมย์สมชวน

๏  ดั่งความรักให้ใคร่ครวญ              หัวใจโหยหวน
อยากมีรักอยู่นิรันดร์

๏  ยืนหยั่งดั่ง ฯสัตตบรรณ               รักล้นทนทัน
ท้าลมแดดฝนร้อนเข็ญ

๏  ไขว่คว้าหารักยากเย็น                 รักร้อนย้อนเห็น
น้ำตาไหลหลั่งดั่งชล

๏  กามาฉันทะกมล                         กระเสือกกระสน
กระหายโหยหามาครอง

๏  ใจรวนปรวนแปรแลปอง                กามกึกลึกลอง
สัมพันธ์แค่ข้ามคืนวัน

๏  อนาถใจในพฤติพันธุ์                     ธรรมชาติสัตว์สรรค์
จนต้องเดือดร้อนย้อนตรง

๏  เพ็ญจันทร์วันลอยกระทง                อย่าได้ไหลหลง
รักตัวกลัวยากเถิดชน ฯ

๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓                  

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอน : นางฟ้า



กลอน : นางฟ้า

      นางฟ้า                นางฟ้าในฝัน             
รอนาน แสนนาน          กาลใด จะเห็น

      นางฟ้า                ตัวจริง พริ้งเพ็ญ
ได้โปรด แลเห็น          เอ็นดู ผู้รอ

      นางฟ้า                ตัวข้าฯ จะขอ
รักนาง ฟ้าหนอ            ไม่ท้อ เทพทัณฑ์

      นางฟ้า                 ข้าฯได้ แค่ฝัน
ทุกคืน ทุกวัน               เฝ้าฝัน ใฝ่หา

      นางฟ้า                 โปรดจง เมตตา
ข้าฯรัก บูชา                 ชั่วฟ้า ดินสลาย

      นางฟ้า                 ข้าฯเจน เข็ญใจ
เพราะนาง ฟ้าไม่           มาให้ ภิรมย์

      นางฟ้า                 ใจข้าฯ ตรอมตรม
รักร้าง หวังล่ม              ระทม ทุกข์ใน

      นางฟ้า                  ก่อนข้าฯ จะตาย
ขอมอบ หัวใจ                ให้นาง ฟ้าเอย ฯ

๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอน : กระทง หลงทาง



กลอน : กระทง หลงทาง

      กี่ปี ที่แอบเหงา               เพราะใจเรา เฝ้ารักหลง
คืนคอย ลอยกระทง                อยากบอกจง ตรงใจเธอ

      อยากบอก ออกจากปาก    บอกว่ารัก มากเสมอ
หลายปี ที่ชะเง้อ                    มองดูเธอ คู่เกลอเรา

      กี่ปี ที่แอบดู                    เขาเคียงคู่ อยู่ค่ำเช้า
กี่ปี ที่แอบเหงา                      เคียงคู่เศร้า เหงาคู่ใจ

      รักเธอ เสมอมา                รักกว่าฟ้า รักอุทัย
รักมาก อยากเผยไป                 รักกว่าใคร ในชีวี

      รักคน มีเจ้าของ                ใจกลัดหนอง เศร้าหมองศรี
ร่ำไห้ ใจท่วมปรี่                      ช้ำฤดี สุดที่จะทน

      ปวดร้าว เนาในอก              เหมือนนรก มาฉกชนม์
เจ็บช้ำ กล้ำกมล                      เหมือนไฟรน จนท่วมใจ

      ยามเห็น เขาเป็นคู่              เริงร่าสู่ ดูสดใส
ส่วนเรา เหงาเดียวใด                 ไม่มีใคร ใคร่คู่เคียง

      กระทง คงหลงทาง              เหมือนทุกอย่าง หลังลอยเรียง
ทำได้ ก็แค่เพียง                        เมียงมองเขา เคล้าคู่กัน ฯ

๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓  

กลอน : ลอย กระ ทง



กลอน : ลอย กระ ทง


      ดวงเดือนเพ็ญ เด่นลอย ปานพลอยเพชร          กลางเทเวศร์ ทัศนา นภากาศ
กระจ่างเรือง เปรื่องปลั่ง สว่างวาด                        แจ่มจำรัส ประภาสสร สะท้อนไท

      แสงเดือนส่อง รองเรือง ประเทืองเทศ              กระจ่างเนตร อาณา ภาวิไล
รติกาล วันพระ อากาศใส                                    สงัดสบาย ใจมื่น คืนเหมันต์

      ริมลำธาร วารวิเวก อเนกสุนทร์                       ธารารุน หมุนไหล ไหวส่งสันติ์
คลื่นฉอกเชี่ยว เกรียวกราก กระชากกระชั้น              สะท้อนจันทร์ วรรณวับ ระยับตา

      ประเพณี มีมา บรรพสมัย                               บูชาไหว้ ลอยกระทง แม่คงคา
สำนึกคุณ จุนเจือ เอื้อภักษา                                 ขอขมา เมตตาโทษ โปรดอภัย

      ลอยทุกข์โศก โรคเคราะห์ ต่ออายุ                   ขอมีคู่ สุสม ภิรมย์ไสว
ขอมีสุข ทั่วสถาน ทุกกาลไกล                              ขอมิให้ ภัยพาน สำราญทรวง

      ยกกระทง อธิษฐาน สำคัญเสร็จ                       จรดเกศ เจตนา ขมาสรวง
ลอยกระทง ลงธารา พาทุกข์ปวง                            ไหลลอยล่วง ช่วงโชติ ชัชวาล

      กระทงน้อย ลอยล่อง ท้องนที                        เปลวเทียนศรี ส่องสว่าง กลางสถาน
พระพายพัด ปัดพลิ้ว ปลิวเปลวปาน                         ชลธาร ครั่นคลื่น ชื่นกระทง

      วัฒนธรรม งามมี ปฏิบัติ                                  สัทธรรม งามสวัสดิ์ ประพัทธ์ส่ง
ศีลธรรม งามล้ำ สิธำรง                                         กุศลธรรม งามตรง จงไพบูลย์ ฯ


๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอน : ธรรมชาติ....ชีวิต...คิด...?

               

กลอน : ธรรมชาติ....ชีวิต...คิด...?

      ยามสายแห่ง เหมันต์ กาลสมัย         ฟ้าสดใส ปลอดโปร่ง โล่งสล้าง
ไกลสุดสาย ปลายตา เมฆาลาง              เวิ้งว่างว้าง ร้างไร้ ใจลอยรื้น

      สายลมไหล ไล้พลอย ลอยพือพัด     ยอดประดู่ ชูสะบัด ไม่ขัดขืน
ใบเหลืองแห้ง แล้งหล่น กล่นเกลียวกลืน   กระจายพื้น ดื่นพร้อย นิ่งอ้อยอิ่ง

      ร่มประดู่ รื่นร่ม รมณีย์                      แสงสุรีย์ ส่องใบ พรายพราวพริ้ง
พยับแดด แผดพร่าง กระจ่างจริง              นั่งนิ่งๆ อิงกาย ใจเยือกเย็น

      ตาลโตนด โยชน์ยอด สอดเสียดฟ้า     ลมพัดพา โยกส่าย สบายเห็น
ชูก้านแปลก แยกสยาย ปลายใบเป็น          บานแผ่เล่น เห็นไหว ให้นภา

      นนทรีต้น โยนใบ ชายลมพัด              ก้ามปูปัด ผลัดเปลี่ยน เวียนใหม่หา
กิ่งก้านแบ แผ่บัง พรางแสงจ้า                  พุทธรักษา ริมรั้ว ดอกพัวพัน

      มีชีวิต คิดใคร่ ครวญให้หนัก               อย่าแส่อยาก มักหา กามาฉันท์
มิต่างทาส ชาติสัตว์ กำหนัดกัน                  จงเท่าทัน ต้านเหตุ กิเลสกล

      มีชีวิต คิดสร้าง ทางข้างหน้า              อย่าปล่อยปละ ลาเลย เหยห่างผล
ความเคยตัว ทั่วขวาง ทางถกล                 วิจิตรจล สนธิ์สร้าง พร่างไพบูลย์

      มีชีวิต คิดพร้อม ไม่ยอมแพ้                ไม่ยอมแม้ โชคชะตา พาเสื่อมสูญ
ศักยภาพ สรรพพร้อม น้อมจำรูญ                กิจเกื้อกูล ก้าวหน้า สถาพร ฯ

๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอน : " banana split " กับมิตรภาพวัยเยาว์




กลอน  : " banana split " กับมิตรภาพวัยเยาว์
(แต่งเอาเนื้อเรื่อง อย่าใส่ใจในสัมผัส)

      คงจำ ความหลัง                 เมื่อครั้ง ยังเรียน
หัดอ่าน พานเพียร                     ร่วมเขียน ร่วมคร้าน

      เราสาม หลามรัก                 สมัคร สมาน
ซุกซน อลหม่าน                        สำราญ สำเริง

      เป็นเพื่อน ร่วมเล่น                เป็นเพื่อน บันเทิง
เป็นเพื่อน ร่วมเกิ้ง                       ร่าเริง สดใส

      แบ่งปัน กันกิน                      แบ่งสิน ทรัพย์ใช้
แรงกาย แรงใจ                            แบ่งให้ แก่กัน

      ยังจำ ได้ไหม ?                     ไปเที่ยว ห้างหัน
กอดคอ ต่อกัน                             สรวญสันติ์ พรรณนา

      ผ่านร้าน ไอศกรีม                   อยากชิม โอชา
โปสเตอร์ เบ้อเร่อหรา                    " banana split "

      ต่างมี เงินน้อย                       ร่วมคล้อย ร้อยคิด
รวมเงิน รวมมิตร                           ร่วมสิทธิ์ ๑ ถ้วย

      ไอศกรีม กล้วยหอม                 แยมล้อม ย้อมกล้วย
ป้อนกัน ปันช่วย                            กินด้วย อวยกัน

      ได้รส ไอศกรีม                        ได้อิ่ม สัมพันธ์
ได้สมัคร สมาน                             ได้ประสบการณ์ ชีวี

      หวนคิด ขึ้นมา                          น้ำตา ไหลปรี่
จากกัน นานมี                                 มิเลือน สัมพันธ์

      มิตรภาพ วัยเยาว์                       ผ้าขาว พราวพรรณ
ไร้ชาติ ชนชั้น                                 นิรันดร์ รักเอย ฯ

๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓