ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กลอนสี่ : แสงทองแสงธรรม

               
                                       


กลอนสี่ : แสงทองแสงธรรม

      แดดแสง แรงใส                    ส่องไกล สุดหล้า
ต้องสรรพ สิ่งทา                          พร่าพราย ฉายทอง

      ฉงน ฉงาย                           แดดสาย ใยส่อง
ผ่องเฟื่อง เรืองรอง                      หมดหมอง ใหม่มี

      เหมือน กุศลกรรม                  คุณธรรม ศีลศรี
บริสุทธิ์ ดุษฎี                              ศิวิไลส์ โสภา

      คุณค่า แสงทอง                    ทางส่อง ทั่วหล้า
กระจ่าง สว่างตา                          พ้นภยา เภทภัย

      คุณค่า ธรรมบท                     หมดจด สดใส
ชีวา ชนะชัย                                เกริกไกร กัลยา

      ทางมืด มัวหม่น                     ผู้คน ล้นหล้า
ทุกข เวทนา                               โทมานัส อนาถจล

      อกุศล ทุจริต                         ทางผิด ทิศผล
สนธยา ชลาชล                            พัดฉล ชนม์ทราม ฯ

๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โคลงสี่สุภาพ : อย่าคบคนพาล

              
                                         


โคลงสี่สุภาพ : อย่าคบคนพาล

๑.คิมหันต ฤดูย้อน                  มาเยือน
อรุณโปร่งโล่งเลือน                 เมฆชม้าย
สูรย์ส่องแสงโชติเชือน             เช้ารุ่ง
กลมใหญ่ไข่แดงคล้าย             คิดให้เอ็นดู ฯ

๒.โพธิ์ผลิใบอ่อนย้อย              บางเยาว์
ลมเรื่อยไหลเอื่อยเบา               ลูบไล้
ใบแก่ร่วงหล่นเรา(ราว)              ลาจาก
โพธิ์เก่าเหงาใบไร้                    เหว่ว้าระทม ฯ

๓.คนหยาบใจกระด้าง               ทุรชน
เห็นแก่ตัวทั่วมน                       หยาบช้า
คบหาอัปมงคล                         คืนกลับ
คบรักหนักเหนื่อยล้า                   เสื่อมสิ้นสุนทร ฯ

๔.คนละเอียดอ่อนแล้                  นุ่มนวล
เมตตากรุณาอวล                        เอื้อเฟื้อ
คบหาน่าโหยหวน                       พันผูก
คบรักตระหนักเชื้อ                      ชิดใกล้ใจถวิล ฯ

๕.ทำคุณแก่คนไร้                       สำนึก
เสื่อมทรามความรู้สึก                    แน่แท้
หากหมายใคร่ตรองตรึก                บุญคุณ
คิดแค่ทำดีแล้                             เนื่องน้าวธรรมบท ฯ

๖.พุทธองค์สอนสั่งให้                   ไกลพาล
คบใคร่ให้กันดาร                          คืนได้
บัณฑิตชิดสมศานติ์                      เรืองรุ่ง
ประหนึ่งชมชิดใกล้                       ป่าไม้ไพรวัลย์ ฯ

๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กลอนสี่ : ปลายหนาว ท้าวธรรม

             
                             


กลอนสี่ : ปลายหนาว ท้าวธรรม

      ลมผวน ป่วนปั่น                กรรโชก โกรกกราก
ฝุ่นพลิ้ว ปลิวพราก                   ลมลาก หักหาญ

      อากาศ อบอ้าว                  แดดเผา ร้าวผลาญ
ฟ้าหลัว มัวมาน                       เมฆพล่าน ปั่นปรวน

      ปลายหนาว เข้าร้อน            ซับซ้อน ย้อนหวน
ร้อน-หนาว เร้ารวน                    ชวนไข้ กายกรม

      เหมือนจิต ใจคน                 มากล้น อารมณ์
ซ้อนซับ สั่งสม                         จมยาก เข้าใจ

      ถูก / ผิด คิดคาด                 สารพัด สาดไส
จริง/ เท็จ เจตน์ไท                     ตามใจ ตัวเอง

      ก่อกรรม ทำกิจ                    ถูก-ผิด ติด-เก่ง
รอนลาง วังเวง                          เครียดเคร่ง วิญญาณ์

      ผจญ ผลกรรม                     ลำนำ หลามหรา
มืดมน อลหม่าน์                         ใบ้บ้า ทุรพล

      ไร้หลัก ชักพา                      ชีวา สับสน
ตามใจ ใคร-ตน                           พลัดผล ท้นทัณฑ์

      หลักธรรม นำใจ                     สุกใส ใจสันติ์
ปลอดภัย ใดพันธ์                          สำราญ บันเทิง ฯ

๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กาพย์ยานี ๑๑ : ปัญญา จากธรรมชาติ

                 
                                        

กาพย์ยานี ๑๑ : ปัญญา จากธรรมชาติ

      หมอก..ลาง เบาบางเลือน                อรุณเยือน เดือนมีนาฯ
สูรย์ส่อง เรืองรองร่า                             ผ่านม่านหมอก ปานดอกไม้

      รุ่งเช้า เข้าวันชื่น                            วิหคครื้น รื้นเพลงใส
เปล่งเสียง เพียงประไพ                         จากสุมทุม พุ่มพฤกษ์พรรณ

      ต้นไม้ ร่วงใบบ้าง                            แลรกพร่าง ร้อยรังสรรค์
คละเคล้า เคียงเข้ากัน                           ในไพรสณฑ์ สกลเกลียว

      ผลิ..ดอก บ้างออกผล                     เหลือง - แดงล้น ปนใบเขียว
มองดู อยู่ครู่เดียว                                 แดดแผดเผย เลยอรุณ

      สังคม สมสั่งคน                             เลิศกมล จนสถุล
เมตตา แลอาดุร                                  คลายขัดแย้ง แกล้ง - เกลียด-กานต์

      ต่างจิต ต่างทิฏฐิ                            ต่างคติ ต่างพิษฐาน
นำห่าง ต่างแตก ตาล-                           ปัตรเป้า ความเข้าใจ

      สื่อสาร ผ่านอักษร                           อย่ารีบร้อน คลอนความไข
ผิดพลาด พินาศภัย                               ทำลายมิตร ริดสัมพันธ์

      เมตตา การุญตั้ง                             เปิดใจกว้าง พลังสร้างสรรค์
เทวา สาธุกัน                                      กุศลเกิด ประเสริฐเอย ฯ

๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ 

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กลอนเปล่า : เปลี่ยนใจ..เปลี่ยนไป..เปลี่ยนรัก..

              
                                       

กลอนเปล่า : เปลี่ยนใจ..เปลี่ยนไป..เปลี่ยนรัก..

เมื่อเธอเปลี่ยนใจ..
เพื่อไปมีคนใหม่...
จากไป...จากกลาย ไม่อยู่ให้ฉันได้กอด..
เพื่อไปทอดกาย...
ให้ใครอื่นได้ชื่นเชย..

โอ้...ใจเจ้าเอ๋ย...
เฝ้าเอ่ยคำ..พร่ำบอกกับตัวเอง..
อย่าได้เคร่งเครียด...
อย่าเกลียดหรือโกรธ
เพราะมันไม่มีประโยชน์
ขอได้โปรด...
อย่าไปอาลัยและมีเยื่อใย
ต่อใครที่ไม่ควรเจอ...

ก็แค่คนที่เคยกอดมาเสมอ...
เมื่อไม่มีใจให้กัน กายนั้นก็พลันเป็นฝันเพ้อ...
ปวดใจทำไมนะเออ...
เมื่อเธอเปลี่ยนไป ไม่นำพา..

เมื่อเธอเลือกที่จะมีคนใหม่..
เราก็กลายเป็น....คนมีอิสระ...
โลกกว้างใหญ่..ไกลนักหนา..
อย่าเสียเวลาครวญคร่ำรำพัน...

ราตรีมิสิ้นแสงดาว...
กลางหาวมิไร้ดวงจันทร์
แม้แต่กลางวัน....
สุริยันไม่เคยผันผาย...

ฉันจะเปิดหัวใจ..
เปิดออกไปให้กว้าง...ดั่งท้องนภา
ส่องมองดูหล้า ...
เพื่อแสวงหา...ใคร...

ผู้มีใจรัก...
รักจริง...

ใครคนนั้นที่ฉันจะรัก..
ใครคนนั้นที่ฉันจัก..ทะนุถนอม...ไม่ยอมทิ้ง
ใครคนนั้นที่ฉันยอม...ทุกๆสิ่ง
ด้วยความจริงใจ...
และพร้อมมอบกาย...
ชิดใกล้ให้อิงแอบ...

ฉันแทบจะรอต่อไปไม่ไหว...
ก็ในเมื่อวันนี้ ฉันไร้ใคร...
ที่จะให้กายได้แนบชิด...

ฉันเปลี่ยวเหงา...
ร้าวราน ครั่นดวงจิต..

แต่คิดว่าคงจะไม่นาน...

ในเมื่อโลกนั้น...
ไม่ปิดกั้นใคร..ผู้ไร้รัก
คงมีสักคน ...
ที่สนใจใฝ่มีรัก...

รักที่สดใส...
จริงใจไม่ลวงหลอก..
รักที่ผลิ..ดอกและออกผล เป็นความสุข

เราสองจะป้องปลูก
ให้เติบโตเป็นต้นรักที่สุกใส
แผ่กว้างอย่างยิ่งใหญ่
ให้ใจเราได้ใช้เป็นร่มเงาแห่งชีวิตคู่...

แล้วเราสองจะครองอยู่..
อยู่ร่วมกัน
ให้ยืนนานปานตะวันและจันทรา...
ที่อยู่คู่แผ่นฟ้า..
และผืนพสุธา..

ตลอดกาลนาน....ฯ

๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กลอนแปด : เรียน...รู้...ดู...รัก

              
                             


กลอนแปด เรียน...รู้...ดู...รัก
     
      นับแต่ที่ ฤดีเต้น เป็นจังหวะ                    สร้างนัยนะ เบิกโพลง สงสัยหล้า
นับแต่เริ่ม เล่าเรียน เพียรพิทยา                   นับแต่หา สร้างตน ไม่สนใจ ( รัก )

      เฝ้าพัฒนา ความรู้ ดูความคิด                ลองชีวิต ผิด / ถูก... ล้ม-ลุก...ไหล
ประจักษ์แจ้ง แสงธรรม อำนวยชัย              มิปลงใจ ใคร่รัก ไม่มักเมา                       
     
      ศึกษาสัจจ์ ขัดสน กมลขลาด               ศึกษา " สัตว์ "  คาดขับ..รัก อับเฉา
ศึกษา " สัท..ธรรม " ให้ ใจบางเบา                ศีกษา " สัตย์ อาจรักเข้า เฝ้า....เอกา

       มิใช่ว่า ปฏิเสธ เฉทความรัก                       แต่ใจหนัก แน่นธรรม นำรักษา....
...วามรัก..ไว้ ให้นาง ดั่งนิทรา                     รอชะตา พาพบ ประสบพันธ์

       รอเติบใหญ่ กายก่อ ยังรอได้                    รอนางใน ดวงจิต เพื่อชิดฉันท์
รอเท่าไร ไม่ท้อ ระย่อทัณฑ์                        รอคืนวัน มั่นใจ ไม่โรยรา

       เรื่องบางอย่าง นั่งดูเขา เราเรียนรู้               ไม่ต้องสู้ ลองผิด / ถูก ผูกแข้งขา
พลาดแล้วล้ม ข่มฤทัย ในเวทนา                     รักแล้วล้า ปรากฏเห็น เป็น " แผลใจ "

      ไม่พบใคร ที่หมายมุ่ง ผดุงรัก                       เก็บใจหนัก รัก..พักผ่อน มิอ่อนไหว
รอพบคน สนธิจิต ติดตรึงใน                           จึงปล่อยใจ ให้ร้อยรัก ไม่หนักทรวง

      ไม่เคย...รัก จักไม่อาย ในมวลมิตร               ไม่เคยคิด ผูกติดใคร ให้หึงหวง
ไม่เคยคู่ ดูแลภักดิ์ พิทักษ์ปวง                       ไม่เคยล่วง ประเวณี มิเสียดาย

      กุศลธรรม จำรูญใจ มั่นในจิต                       กุศลฤทธิ์ ประดิษฐ์บุญ อุ่น..อกหลาย
กุศลสร้าง ทางคุณค่า ชีวากราย                      กุศลไกร คลายตัณหา อุปาทาน

      รักเกิดอยู่ คู่ชีวิต ความคิดสรรพ                   รักเกิด-ดับ กลับ-แปรเปลี่ยน เพียรเสพ-สาน
รักเกิด..หลัง ตาย..ก่อน รอนชีพวาร                  รักปรุง-ปัน ราน-เลิก เวิก-วาย-วน

      ฤทัยร้าง ว้างรัก แสนศักดิ์สิทธิ์                      อย่ามัวคิด ริษยา หารักฉล
ไม่เคยรัก ดีกว่ามัก อกหัก...รน                        เกิดเป็นคน อย่าด้นหา ทุกขาเลย ฯ

๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

กาพย์ยานี ๑๑ : แมกไม้ผลัดใบ

             
                                 


กาพย์ยานี ๑๑ : แมกไม้ผลัดใบ

      โพธิ์ผลัด สลัดใบ                 ดั่งต้นตาย ในเดือนสาม
ฟ้าหลัว เมฆมัวลาม                    มืดหมองหมุน พิรุณมนท์

      ต้นสัก พรากใบสิ้น                เกลื่อนกลบดิน ถิ่นสถล
เหี่ยวแห้ง แล้งทั่วต้น                   เสมือนใกล้ อาลัยลา

      ลำดวน ล้วนดอกดก              กลิ่นหอมปก หกทิศา
ไพรสัณฑ์ ส่งสัญญา                   เหมันต์ใกล้ กรายจากกัน

      ธรรมชาติ ประวรรตกิจ           ไม่พลาดผิด พิศแข็งขัน
คุณค่า นับอนันต์                        ระเบียบดี พร้อมวินัย

      ชีวา มีหน้าที่                       ปฏิบัติรี่ มิขาดหาย
แตกต่าง สร้างสรรค์ปราย              ไม่บกพร่อง ครรลองธรรม

      โลกจึง สู่สมดุล                    พ้นวายวุ่น รุนแรงล้ำ
ดิน-ฟ้า-อากาศ-น้ำ ฯลฯ                ต่างพึ่งพา ประสานสม

     คนเรา อย่าเขลาคิด                รับผิดชอบ กรอบสังคม
ทำดี น่านิยม                             จรรโลงบ้าน ฐานเมืองเอย ฯ

๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กลอนสี่ : รักเดียวดาย ใน เงามืดดำ

            
                           


กลอนสี่ : รักเดียวดาย ใน เงามืดดำ

      อยู่คอย หงอยเหงา               ในเงา มืดดำ
จนตรอก ชอกช้ำ                         ระกำ ทรวงใน

      ปวดร้าว หนาวเหน็บ               เจ็บล้น จนใจ
แสนเปลี่ยว เดียวใด                     ไม่มีใคร สักคน

      เธอทิ้ง ฉันไว้                         ในความ สับสน
ฉันแสน มืดมน                              ทุกข์ท้น ทรมาน

      เธอรัก ฉันไหม ?                      หรือไม่ ต้องการ ?
ใยปล่อย ให้พล่าน                           คิดอ่าน เอาเอง ?

      บอกฉัน สักคำ                          อย่าทำ ขรึมเคร่ง
เท่ากับ ข่มเหง                                ไม่เกรง บาปกรรม

      ฉันมอบ ทุกสิ่ง                          จริงใจ ทุกคำ
เธอกลับ มองกล้ำ                             เหยียบย่ำ น้ำใจ

      เธอไม่ แยแส                            แคร์ฉัน ใช่ไหม ?
จึงทิ้ง ฉันไว้                                    ให้อยู่ ดายเดียว

      ฉันทุกข์ เท่าไร ?                        เธอไม่ แลเหลียว
น้อยใจ นักเชียว                               แห้งเหี่ยว อุรา

      มีรัก ทั้งที                                 เหมือนไม่ มีค่า
ซวนเซ เหว่ว้า                                 อ่อนล้า ร่วงโรย

      ใจจ่อม ตรอมตรม                       ห่มไห้ หาโหย
ชีวิต อิดโรย                                    อยากโบย บินไป

      บินสู่ ขอบฟ้า                             หาความ สดใส
ทิ้งทุก สิ่งไป                                    ไม่หวน คืนคอน ฯ

๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔