ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

มืดมา มืดไป...มืดมา สว่างไป : กลอนคติธรรม




มืดมา มืดไป...มืดมา สว่างไป : กลอนคติธรรม
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

    ยามสูรย์ สืบพ้น...............ยอดสณฑ์ นารา ปรากฏ(นารา=รัศมี)
บัดดล ชนบท......................ก็ลด ทอนความ เหน็บหนาว
แสงทอง ส่องหล้า................เจิดจ้า กระจ่าง พร่างพราว
เมฆบาง กลางหาว................ค่อยหาย ไร้ราว จำนน

    ลางคน เกิดมา..................ชะตา ระกำ ย่ำแย่
ยังทราม กรรมแส่...................ยอมแพ้ แก่อ กุศล
ทำตัว ชั่วช้า..........................คบค้า แค่ทุ รชน
ก่อความ ลำบน......................ให้คน อื่นขม ขื่นใจ

    ยิ่งตก วกต่ำ.......................ผลกรรม ซ้ำเติม เสริมติด
ชีวา วิกฤติ.............................ชีวิต อิดหนา สาไถย
ชาตินี้ ชั่วช้า...........................ชาติหน้า ยิ่งท วีภัย
" มืดมา มืดไป ".....................พุทธองค์ ทรงให้ นิยาม

    ลางคน ชะตา......................สามานย์ ระยำ กำเนิด
เห็นธรรม ล้ำเลิศ......................เกิดละ อายกลัว ชั่วหลาม
ละ-เลิก บาปกรรม์.....................ศีลธรรม์ ศึกษา พยายาม
ชีวี ดีงาม.................................คล้อยตาม ผลกรรม อำไพ

    เป็นศุ ภผล...........................กุศล ดลดาล พานสู่
โศภิน วิญญู..............................ภูติ พิพัฒน์ มนัสใส(ภูติ=ความรุ่งเรือง)
อยู่เย็น เป็นสุข...........................ทุกวี่ ทุกวัน กรรม์ไกร
" มืดมา สว่างไป "....................พุทธองค์ ทรงให้ นิยาม ฯ

๓๑ มกราคม ๒๕๕๖

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

เผื่อเหลือ เผื่อขาด : โคลงสี่สุภาพ




เผื่อเหลือ เผื่อขาด : โคลงสี่สุภาพ

. อุษาอาภาครึ้ม..................ซึมเซา
หม่นมัวสลัวเทา....................ทั่วฟ้า
สายลมแผ่วพัดเบา.................พาตผ่าน
สูรย์อ่อนรอนแรงล้า................หลบลี้ฤาไร ฯ

. ผืนดินดูชุ่มชื้น....................ชลดาล
ผลจากฝนชะลาน...................ล่วงล้ำ(ฝนชะลาน=ชื่อของฝนชะช่อมะม่วง)
ติณชาติเฉกสะคราญ...............เขียวสด
ใบขจียังมีน้ำ..........................หยดค้างเยาว์คง ฯ

. อากาศเย็นย่ำเช้า................บริสุทธิ์ 
สรรพสิ่งนิ่งดูดุจ.......................เคลิบเคลิ้ม
หากทว่าเวลาหยุด....................หาไม่
ลมเร่าหนาวสั่นเริ้ม....................เตือนต้องตรำการ ฯ

. หาเงินเพียงเพื่อใช้.................พัทธ์ชนม์
หาใช่ขาดแคลนจน.....................เดือดร้อน
หาเฝือเพื่อเปรอปรน....................อวดโอ่
หาก่อกุศลกล้อน.........................เผื่อให้พองาม ฯ

. เวลาเหลือว่างไว้......................สร้างสรรค์
เงินเหลือเผื่อแผ่ปัน......................แบ่งหล้า
บุญเหลือส่งสุขสันติ์......................สุคติ
คุณเหลือเกื้อกูลกล้า.....................ชาติหน้ามีบุญ ฯ

๓๐ มกราคม ๒๕๕๖

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

ดี / ร้าย ใจเลือกเอง : กาพย์ฉบัง๑๖





ดี / ร้าย ใจเลือกเอง : กาพย์ฉบัง๑๖

    ปัจฉิมวารแห่งทิวา...............ลับสุริยา
นภาเหมันต์ด้อยสันสี

    ขอบฟ้าพร่ามัวสลัวมี..............เมฆหมอกพอกพี
คลี่คลุมเบาบางพร่างเวหน

    เพียงม่วง-ชมพูอ่อนปน..............เทา-ฟ้าระคน
สีสนธยาภากรีดกราย

    นกเอี้ยงส่งเสียงทักทาย..............ญาติมิตรสหาย
ส่งท้ายทิวานิทราสันติ์

    ในการดำเนินชีวัน..............ใฝ่หาสารพัน
อยากบรรลุสู่จุดหมาย

    วิธีมีหลากมากมาย..............สร้างสรรค์ / อันตราย
ชั่วร้าย / ฤาดีมีให้หา

    แล้วแต่ใจใคร่บัญชา.............โศภินจินดา
หรือว่าทุจริตจิตไถล

    กลกรรมย่อมดำเนินไป..............ผลเป็นเช่นไร
เกินไกลกว่าคิดได้ถึง

    วัฎฎะสังสารดาลดึง.............ลึกล้ำคำนึง
โลกจึงมิไร้ทุกข์ภัยเอย ฯ

๒๙ มกราคม ๒๕๕๖

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

แก๊ง 18 มงกุฎ : กลอนคติเตือนใจ




แก๊ง 18 มงกุฎ : กลอนคติเตือนใจ

    แก๊ง 18 มงกุฎ สุดยิ่งใหญ่                   เหลือบอาศัย ในพระพุท ธะศาสนา
หลากเลศฉล ล้นเล่ห์ฉ้อ ล่อมารยา                แสวงหา ลาภยศมี โลกียธรรม

    พิสดาร ผันตน พ้นพิเศษ                     ขมังเวท เดชกล้า อาคมกล้ำ
ไสยศาสตร์ แสนกล เสกมนตร์ดำ                  พิธีกรรม ชำนาญ ชาญฤทธี

    มีลูกศิษย์ ลูกหา ลูกสมุน                    คอยป่าวหนุน คุณเดช ขลังเวทศรี
อวดอุตริ มนุสธรรม สำคัญมี                       ปราบภูตผี ปีศาจ อาพาธภัย

    หลอกขายบุญ ขายของขลัง รังสฤษฏ์      ขายความคิด วิตถาร สวรรค์ไถย(รังสฤษฏ์=สร้าง)
ล้างพิบัติ รับตัดกรรม ตามชอบใจ                  แลกรายได้ เพียงเล็กน้อย ร้อยล้านพัน

    บิดเบือนธรรม ยำวินัย พระไตรปิฎก          ชอบโกหก ยกเมฆ มากเสกสรร
หลอกคนโง่ งี่เง่า ไม่เท่าทัน                        หลงสุขสันติ์ หรรษา ศรัทธาไท

    คนชั่วช้า กาลี มีแต่บาป                       คนกรานกราบ ได้บุญ คุณที่ไหน ?
คนศรัทธา อลัชชี ที่จัญไร                           คนนั้นไซร้ ไม่พ้น มนกาลี ฯ 

๒๘ มกราคม ๒๕๕๖

วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

ภาพขำขำ ๖๗


ภาพขำขำ ๖๗



















จะยังรักฉันไม๊ ? : วิชชุมมาลาฉันท์ ๘




จะยังรักฉันไม๊ ? : วิชชุมมาลาฉันท์ ๘

    เหตุใด จึงมา.................บอกว่า " รัก " ฉัน ?
หากแม้น สักวัน..................เหตุผัน เปลี่ยนไป
เธอจัก ยังคง......................หลงรัก ฉันไม๊ ?
ลองคิด ดูให้.......................มั่นใจ ตอบตรง

    วันหนึ่ง ข้างหน้า..............ยศถา บรรดาศักดิ์
ฉันเสื่อม สิ้น ; จัก.................ยังรัก ยังหลง ?
วันหนึ่ง ข้างหน้า...................เงินมา หมดลง
เธอจัก ยังคง........................รักฉัน เช่นเดิม ?

    วันหนึ่ง ข้างหน้า...............โรคา รังควาน
กายร่าง สังขาร.....................พิการ รานเริ่ม
ฉันดู อุบาทว์.........................อาจลุก ลามเติม
เธอยัง จักเสริม......................เพิ่มรัก ภักดิ์ไร ?

    สักวัน ฉันแล.....................แน่แท้ แก่เฒ่า
สิ้นความ งามเยาว์...................เหี่ยวเฉา เสื่อมใส
เรี่ยวแรง แห้งหด.....................มดกัด ยังไข้
เธอจัก แน่ใจ..........................รักไม่ เลือนราง ?

    แล้วถ้า วันใด......................คนใหม่ เข้ามา
เก่ง-สวย-รวย-กล้า...................กว่าฉัน ทุกอย่าง
เธอสา มารถไม๊ .....................ทำใจ ปล่อยวาง ?
หรือว่า งอกหาง.......................ทิ้งขวาง ฉันไป ?

๒๗ มกราคม ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556

อดทน...ปล่อยวาง : กลอนคติสอนใจ(กลอนหก)




อดทน...ปล่อยวาง : กลอนคติสอนใจ(กลอนหก)

    สิ่งเดียวกัน นั้นเป็นได้...............ทั้งปัจจัย ไกรกุศล
หรือจัญไร ใจมืดมน......................ทรามส่งผล จนพิลัย(พิลัย=ย่อยยับ)

    เช่น ขันติ ความอดทน..........ข่มกมล พ้นสาไถย
อุเบกขา ปล่อยวางไป...............เมื่อไม่อาจ เอื้อมวัฒโน(วัฒโน=วัฒนา)

    ไม่ใช่ ทน ไปทุกอย่าง............ยอม ปล่อยวาง อย่างโง่ๆ
ทำสิ่งใด ใจเลโล...........................ไม่โงหัว กลัวเปลี่ยนแปลง

    ถูกเอาเปรียบ โดนเหยียบย่ำ.........ขันติ  ทำ ขำแถลง
เห็น อยุติธรรม ยังสำแดง.................แสร้ง อุเบกขา หน้าไม่อาย

    แสนยากเย็น ความเป็นอยู่............อดทน สู้ รู้ความหมาย ?
ใช่ อดทน จนอดตาย........................ต้องขวนขวาย ไม่อ่อนแอ

    พยายาม ถึงที่สุด........................ไม่อาจหยุด ปัญหาแย่
จงทำใจ ไร้ปรวนแปร........................คือข้อแม้ ควร ปล่อยวาง

    อดทน ต่อ สิ่งล่อใจ....................ยั่วยวนไถย กลายผีสาง
ทำหน้าที่ ต้องเป็นกลาง.....................อย่าเลือกข้าง  ปล่อยวาง ครัน ฯลฯ

    ต้อง อดทน ให้ถูกทาง...............จิต ปล่อยวาง อย่างสร้างสรรค์
เพิ่มพฤฒิ เพื่อชีวัน.............................พัฒนานันท์ พรรณราย ฯ (พฤฒิ=ความเจริญ,พรรณราย=งดงามผุดผ่อง)

๒๖ มกราคม ๒๕๕๖

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

มโนธรรมสำนึก : กลอนคติธรรม




มโนธรรมสำนึก : กลอนคติธรรม

    ต้นปาล์มใหญ่ ขุดย้ายถูก ปลูกใหม่ที่                คนไม่มี ใจใส่รด อดน้ำเข็ญ
ทีละใบ ปาล์มกลายแล้ง แห้งลำเค็ญ                      ฝืนสุดฝืน ขืนต้นเป็น จนเห็นตาย

    อุทาหรณ์ ย้อนใจติด จิตสำนึก                       จักตรองตรึก รำลึกสู้ กุศลสาย
สัตยะ มโนกรรม มิกล้ำกลาย                              ตราบชีพวาย มิชายสิ้น ชรินธรรม(ชริน=ประดับ)

    จักนบนอบ ชื่นชอบใคร ชมใจเขา       ไม่ถือเอา ทรัพย์ยศฐาน์ สัทธาขำ(ขำ=ลักษณะที่ชวนให้ชอบ-รัก)
จักคบใคร ใคร่ครวญยึด พฤติกรรม                      ประเสริฐล้ำ หรือต่ำช้า ปัญญาเบา

    แม้จักตาย จะไม่คุด ทุจริต                          ชั่วชีวิต ละคิดคลอก หลอกใครเขา
แม้อดอยาก ไม่ลักขโมย กอบโกยเอา                    ยอมโดนด่า ว่าโง่เขลา มิเอาเปรียบใคร

    จะกินใช้ พอให้เพียง เลี้ยงชีวิต                     รู้จักคิด พิจารณา ละเหลวไหล
โลกร้อนรน เพราะคนลาญ ใกล้บรรลัย                   และยังไร้ มโนธรรม สำนึกเอย ฯ

๒๕ มกราคม ๒๕๕๖

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยเปล่า : กลอนคติสอนใจ




อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยเปล่า : กลอนคติสอนใจ
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

  นภา พิมล                   สุริยน สืบพ้นยอดไม้
รพี วิไล                          ไสว สว่าง พร่างเวหน

  ยามเช้า หนาวเย็น         เพราะเป็น เหมันต์ บันดล
หมอกขาว ราวล้น              ท่วมพ้น ท้นพื้น พสุธา

  คล้อยความ ยามสาย      แดดฉาย สยาย มาหา
อบอุ่น กายา                     อุรา ก็พา เข้มแข็ง

  เคยเชื่อง เซื่องซึม           ก็ครึ้ม ใจกลาย กลับแรง
กิจการ งานแต่ง                  ขันแข่ง กับแสง ตาวัน

  กลางคืน ยื่นยาว             หน้าหนาว คราวกลาง วันสั้น
ถ้าไม่ เพียรหมั่น                  สิ่งสร้าง สรรค์พลัน ขัดสน

  ล่วงเลย เวลา                ไม่ก้าวหน้า ชีวาชนม์
ล่วงวัย ไกลกล                   จะดิ้นรน หรือก็ จนจินต์

  เวลา มีค่า                     ไม่ต่าง เงินตรา ถวิล
ทำมา หากิน                       อย่าสิ้นไป...(กับเรื่อง)ไร้สาระ

   ชีวิต แสนสั้น                 เช่นกลางวัน เหมันตะ
จงมี วิริยะ                          มานะ มุ่งเจริญ เทอญ ฯ

๒๓ มกราคม ๒๕๕๖

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

สิ่งขวางกั้นการพัฒนาตนเอง : กลอนเปล่า




สิ่งขวางกั้นการพัฒนาตนเอง : กลอนเปล่า

ความถือตัว
คือรั้วที่ขวางกั้นความคิด
ให้ติดอยู่กับความเชื่อเดิมๆ
ไม่อาจริเริ่มสู่ความรู้คิดใหม่ๆ
(ถือตัวว่าเหนือกว่าเขา/เสมอเขา/ต่ำกว่าเขา)

ความเย่อหยิ่ง
คือสิ่งอำพรางความจริง
ที่สิงอยู่ท่ามกลางดวงใจ
ให้หลงอยู่ภายใต้วังวน
อันมืดมน..จนมืดมิด

ความมั่นใจ
คือปัจจัยผลักดันดวงจิต
ให้กล้าคิดกล้าทำ
แต่หากมีความมั่นใจเกินไป
ก็นำไปสู่ความรั้นดื้อ ถือมารยา

ความดื้อรั้น
เป็นปราการอันคับแคบ
ที่แนบแน่นอยู่ในแก่นของอัตตา
ของผู้มีสติปัญญาโง่เขลา
ผู้มัวเมาลุ่มหลง

ความลุ่มหลง
เป็นป่าดงพงชัฏ
ที่รึงรัดมัดความนึกคิด
ให้ติดอยู่กับโมหะอวิชชา
และมายาภาพ ตราบนิรันดร์....

ความเฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น
ทำให้ไม่รู้ตัว
ว่ามีสภาพเป็นคนเกียจคร้าน
ขาดความมุ่งมั่น
ไม่ทะเยอทะยาน
ไม่หมั่นเพียรปรับปรุงแก้ไขตนเอง

หากใครหมายมั่นชีวันอันก้าวหน้า
ใฝ่หาพัฒนาการอันไม่สิ้นสุด
ไม่อยากหยุดอยู่แค่สิ่งที่เป็น
เฟ้นหาสิ่งที่ดีกว่า
ประเสริฐกว่าแล้วไซร้

จงเลิกฝังใจ
พอใจกับความเคยชินเดิมๆ
จงฮึกเหิมเริ่มต้นเป็นคนใหม่
ข้ามพ้นสิ่งขวางกั้น
เปิดรับสัจการณ์อันก้าวไกล
อบรมจิตใจให้วิกรม
อภิรมย์ไปพร้อมกับความก้าวหน้า
ของโลกย์เทอญ ฯ


๒๓ มกราคม ๒๕๕๖

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

โลกนี้ยุติธรรม : โคลงสี่สุภาพ





โลกนี้ยุติธรรม : โคลงสี่สุภาพ


. สุดแสงสูรย์ส่องหล้า................สายัณห์
คือจุดสุดทิพวัน.........................ว่างเว้น
ดาวเดือนผุดชุติพรรณ.................บรรเจิด
หาใช่จุดสุดเร้น..........................แห่งห้วงเวหา ฯ

. ลมหายใจสุด=สิ้น...................ชีวัน
หมดซึ่งความสัมพันธ์..................ชาตินี้
ชาติใหม่โลกใหม่พลัน.................ปรากฏ
หาใช่หมดโลกนี้.........................จักไร้โลกา ฯ

. เวียนว่ายตายเกิดด้วย...............วิญญาณ
กายร่างประดุจยาน......................พึ่งย้าย
วัฏฏะแห่งสังสาร.........................สืบสัจ
ขับเคลื่อนมิเบือนบ้าย...................คู่ค้ำกรรมกล ฯ(บ้าย=ป้าย)

. ความชั่วชนก่อไว้.....................ใดวาร
บาปย่อมตามติดมาน....................หม่นเศร้า
ความดีที่บันดาล..........................บาลดิฐ(ดิฐ=ตั้งอยู่)
บุญย่อมบำเรอเกล้า......................ก่อให้ห่อนสูญ ฯ

. ความดี-ความชั่วช้า...................ของใคร
บุญ-บาปกำซาบไท......................ทั่วถ้วน
เสมือนหนึ่งเงาตนใน.....................คันฉ่อง
สูง-ต่ำ-งาม-ทรามล้วน...................สะท้อนซอนคืนฯ

. ใครอาจทำใครให้......................บริสุทธิ์ ?
ใครอาจทำใครหยุด.......................ผ่องแผ้ว ?
กรรมใครใครอาจหลุด....................วิบาก ไรฤา ?
คือกฎกำหนดแล้ว.........................โลกนี้ยุติธรรม ฯ

๒๑ มกราคม ๒๕๕๖

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

เงียบ...เหงา : กลอนรัก(กาพย์ฉบัง๑๖)




เงียบ...เหงา : กลอนรัก(กาพย์ฉบัง๑๖)

    อำลาอาทิตย์อัศดง..................ภาสพิมพ์ริมพง
รองรงรองสันลานสี

    อบอุ่นอาบขุนคีรี...............ไคลคลาขจี
มองสีแมกส่ำดำ-เทา

    ไม่มีใครเคียงข้างเรา.............โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา
คล้ายเงากก ตกทอดสินธุ์

    ผืนน้ำผิวหน้าวรินทร์..............สะท้อนสุทิน(วรินทร์=วร+อินทร์)
ยามสิ้นเย็นสอยอแสง(สอ=ประดังกัน)

    สงบสบล้ำสำแดง...............ระบำจำแลง
พลิกแพลงพลิกผันจรรโลง

    เมื่อยามความมืดยึดโยง................ฟ้าฤกษ์เบิกโรง-
ละครจันทรดารา

    เล่าความวิมุตชุติมา..............จากพันธนา(วิมุต=หลุดพ้น)
ศักดาทิพาภาสกร

    ทุกฉากทุกบททุกตอน..............งดงามอัมพร
อรชรอ่อนจิตอิฐใจ(อิฐ=ต้องใจ)

    ในความเงียบงันทันใด............คำถามทำไม ?
เราไร้คู่ครองก้องกมล

    ทั้งที่มีใครหลากคน.............หลายคราหลายหน
ผ่านมาผ่านพ้นผ่านไป

    ลางคนล้นความสนใจ.............สมัครรักใส
สุดท้ายสายสัมพันธ์สูญ

    ฤาเราเขลาเห็นเป็นมูล.............ชะตาอาดูร
พอกพูนพฤติกรรมซ้ำซาก

    เมื่อฟ้าพาเธอมาฝาก.............ใจใยไม่อยาก
รับปากรักปองจองไว้

    เมื่อฟ้าพาเธอพรากไป............เสียอกเสียใจ
เสียดายเมื่อสายเสียแล้ว.....ฯ

๒๑ มกราคม ๒๕๕๖

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

ภาพขำขำ ๖๖

ภาพขำขำ ๖๖

















แสงสุทธิ์พุทธสาสน์ : อินทรวิเชียรฉันท์๑๑




แสงสุทธิ์พุทธสาสน์ : อินทรวิเชียรฉันท์๑๑

    พุทธพจน์ ประณตน้อม..........ศิระค้อม คุณาคันถ์(คันถ=คัมภีร์)
ธรรมา อุรามั่น..........................อภิวันท์ ศรัณย์มัย(ศรัณย์+มัย=ถึงซึ่งความเป็นที่พึ่ง)

    แสงสุท ธิพุทธธรรม..............รุจิล้ำ อร่ามไร(สุทธิ=แท้)
สาดแจ้ง แสดงใจ.....................ภวลักษณ์ ประจักษ์จินต์(ภว=ความมี ความเป็น)

    เฉิดฉาย ขจายชัด.................อริยสัจ พิภัทร์สิน(ภัทร=ประเสริฐ)
สี่ถ้วน ขบวนภินท์......................พลวัฎ ฎะสงสาร(ภินท์=ทำลาย)

    รงรอง ละเมียดมาศ...............มลราตร มลายลาญ(รงรอง=รุ่งเรือง,มาศ=ทองคำ,ราตร=เวลามืด)
จำรัส ขจัดกาฬ.........................สฐสิ้น มนินทรีย์(สฐ=โกง,มนินทรีย์=มน+อินทรีย์)

    อำพน กุศลสาสน์..................ชุติภาส พิลาสสี
                             (อำพน=ดาษดื่นน่าดู,สาสน์=คำสอน,ชุติ=สว่างไสว,ภาส=แสง,พิลาส=งามอย่างสดใส)
ผ่องผุด พิสุทธี..........................นิรโทษ ฤทัยทานต์(นิร=ไม่มี,ทานต์=ใจดี)

    พร่างพราว สกาวเกศ..............ภยเภท พิเศษศานติ์
กำบน กมลบาล..........................กวะสาบ พิลาปสูญ
                             (กำบน=หวั่นไหว,บาล=รักษา คุ้มครอง,กวะ=ราวกับว่า,พิลาป=ร้องไห้ค่ร่ำครวญ)

    เพราเพริศ ประเสริฐส่อง...........มุตก่อง วิชากูล(มุต=รู้แล้ว)
มัวเมา ทุเลามูล..........................ตมแผ้ว พยัตพิชญ์(ตม=ความโง่เขลา,พยัต=ฉลาดเฉียบแหลม,พิชญ์=ปราชญ์)

    พุทธี พิกรมการณ์....................นฤพาน สราญศิษฏ์
                          (พิกรม=วิกรม=เก่งกล้า,การณ์=เหตุ,นฤพาน=นิพพาน,ศิษฏ์=อบรมแล้ว)
พุทธา นิรามิษ.............................ชวลิต ประวิตรเอย ฯ
                           (นิรามิษ=ไม่มีเครื่องล่อใจ,ชวลิต=สว่างรุ่งโรจน์,ประวิตร=บริสุทธิ์)

๒๐ มกราคม ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

วัฏฏะแห่งการเบียดเบียน : กลอนคติธรรม(กลอนเจ็ด)





วัฏฏะแห่งการเบียดเบียน : กลอนคติธรรม(กลอนเจ็ด)

    เทวา มือใหม่ ใจสะอาด                         มองปราด มาดู พสุธา
เห็นเจ้า เมืองใหญ่ ใจมิจฉา                          เอาเปรียบ ประชา...จึงปราณี

    สาปเจ้า เมืองให้ ไร้อำนาจ                      ชาวราษฎร์ ฉลอง ซ้องสุขศรี
เข้าป่า ล่าเสือ เพื่อหนังมี                               ประกอบ กาลี พิธีกรรม

    เทวา ช่วยเหลือ จนเสือรอด                    เสือปลอด ภัยแล้ว แกล้วกาจกล้ำ
ไล่กัด ฟัดหมา มรนำ(มร=ความตาย)                เทวา ตาตำ ต้องทำบุญ

    ช่วยหมา พาฟื้น คืนปกติ                         หมามิ ชักช้า วิ่งว้าวุ่น
จองเวร แมวคร่า ชีวาคุณ                               เทวา หัวหมุน เข้าจุนเจือ

    แมวพ้น เภทภัย ไล่จับนก...                      นกยก พวกฝูง กินยุงเฝือ...
ยุงแพร่ เผ่าพันธุ์ ลูกหลานเครือ...                      กัดเสือ...ฯลฯ เทพเห็น จึงเจนจินต์

    ช่วยสัตว์ ชาติรอด ตลอดไม่                      สัตว์ใคร่ หิงสา นิจสิน
ระกำ ทำพร่า เพื่อหากิน                                 ชีวิน ธรรมชาติ ฉายสัจจา

    การเบียด เบียนไซร้ ไม่สิ้นสุด                    ในหมู่ มนุษย์ ยากหยุดหนา
ผู้มี อำนาจ อาชญา                                      มักหลง อัตตา อธิปไตย

    รากหญ้า ถ้าได้ เป็นใหญ่บ้าง                    หลงย่าง ทางซ้ำ ระยำไฉน
เอาเปรียบ เหยียบปรำ เขาร่ำไป           เวรไตร วัฎฎะ จิรกาล(ปรำ=รุมกล่าวโทษ,ไตร=ไกร,จิร=ยาวนาน)

    ให้กฎ แห่งกรรม ทำหน้าที่                     ผู้มี หทัย อำไพศานติ์
รอเกิด ภพใหม่ ในพิมาน                               สถาน อมร อวยพรเอย ฯ

๑๙ มกราคม ๒๕๕๖

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

ขยับปรับเปลี่ยน : กลอนคติชีวิต




ขยับปรับเปลี่ยน : กลอนคติชีวิต
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

    มวลอา กาศเย็น..............ไหลเร้น ลงมา จากเหนือ
อรุณ จุนเจือ.......................ระเรื้อ ยะเยือก เย็นหนาว
รุจิ วิภา..............................พนา ทิวา สกาว(รุจิ=แสงสว่าง,วิภา=ความแจ่มแจ้ง)
บริสุทธิ์ ดุจราว.....................เด็กสาว คราวด รุณี

    ใบปีบ หยิบมือ.................คือจำ นวนเหลือ เกื้อกิ่ง
ดกหนา ละทิ้ง......................เป็นสิ่ง ปรากฏ บทศรี
ตอบรับ กับหนาว...................ร้าวแห้ง แล้งหา ปราณี
ใบหมอง มองมี......................ไร้สี ไร้สัน รัญจวน

    แมวแม่ ลูกอ่อน.................พาลูก มาซ่อน ในบ้าน
ซุกค้น ซนคลาน.....................ปานว่า สนาม หญ้าสวน
หวังหลบ ปรบหนาว.................หลีกคราว ทุกข์เข็ญ เร้นครวญ
อุ่นเช้า ก็ชวน..........................ลูกก๊วน ถ้วนกลับ ลับไกล

    ธรรมดา ชีวิต......................ต้องคิด ขยับ ปรับเปลี่ยน
โลกวุ่น หมุนเวียน.....................มิเจียน นิจจา อาศัย
ความไม่ แน่นอน.......................ชีวัน บัญชร คลอนไคล
ทบทวน ครวญใคร่.....................ปรับแก้ แปรไข ทันการณ์

    ประสบ สัจจา........................โลกา แม้ว่า ขัดสน
ยังพอ ผจญ..............................ยังตน บนหน ทางศานติ์
แม้ไม่ ได้เกิด.............................เลอเลิศ ยศ-ทรัพย์-ศฤงคาร
ความสุข สราญ..........................พบพาน มิแพ้ แดใด ฯ

๑๘ มกราคม ๒๕๕๖

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

ใบพิกุลสอนธรรม : กลอนแปด




บพิกุลสอนธรรม : กลอนแปด

    ต้นพิกุล แก่เก่า เสาวลักษณ์                       ใบดกนัก พักร่ม สมสุขสันติ์
ซ่อนผลแก่ แลมี สีแสดพรรณ                            ใบดกนั้น บ้างตาย ไร้ชีวี

    ใบพิกุล หมุนพลิ้ว ลอยลิ่วพลัด                    จากกิ่งลัด ลงดิน สินธุศรี
ไคลนิเวศน์ เขตป่า วนาลี                                  สู่วิถี ชลา วัฏฏะจร

    ใบพิกุล ดุลยะ สุภาษิต                             โลก-ชีวิต อนิจจา ธรรมาสอน(ดุลยะ=เท่าเทียม)
การแปลงเปลี่ยน เวียนวน ชลธร                          อย่าเดือดร้อน/ดีอก/ตระหนกใจ

    ใบพิกุล หมุนควง หลุดร่วงหล่น                   ใจพิมล ไม่หล่น มลทินไหล
แม้ระกำ ลำบาก ยากเพียงใด                            คงแกร่งไกร ใจทิน ศีลธรรม(ทิน=ให้แล้ว)

    ใบพิกุล สุดสิ้น ชีวินหล่น                          พิกุลผล เพิ่งเริ่ม เผดิมพร่ำ
บนวิถี ชีวิต อนิจจ์นำ                                      ชะตากรรม ดำเนิน เผชิญเอย ฯ

๑๗ มกราคม ๒๕๕๖