ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คนรัก-คนหลอก : กลอนคติรัก



คนรัก-คนหลอก : กลอนคติรัก
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

    ไพรสณฑ์ พฤกษา.............แผ่ใบ ขึ้นหา อาทิตย์
รับแสง แรงสฤษฏ์..................ผลิต พลัง วังชา
ทุกวัน มิเว้น..........................เฉกเช่น วิสุทธิ์ อุตสาห์
เชิดชู ชีวา............................พิพัฒน์ วัฒนา อาทร

    อนึ่ง มนุษย์.......................ประดุจ พฤกษ์ใส ไพรสณฑ์
เปิดดวง กมล.........................รอคน มอบรัก (แต่) มักหลอน
รักเพียง ลมปาก......................แค่อยาก คิดหยอก ซอกซอน
กามา อาวรณ์..........................ประโยชน์ โปรดย้อน แยบยล

    อยากมี คนรัก....................ไม่อยาก จักมี คนหลอก
รั้งรอ ขอบอก..........................อย่าออก นอกลู่ กุศล
ศึกษา เสียก่อน.......................รีบร้อน คบหา=สัปดน
เสียตัว เสียตน........................เสียจน สับสน วุ่นวาย

    คนรัก ไม่ใช่................ .....ของให้ ใครหา มาเล่น
เปลี่ยนไว ไม่เว้น......................หลากเห็น ละเหี่ย เสียหาย
คนหลอก บอกรัก.....................มักจัก ชักพา อันตราย
กรายกล้ำ ทำลาย.....................ไม่ตาย ก็เลี้ยง ไม่โต

    ไม่อยาก ล้มเหลว.................ตกเหว เปลวไฟ ไกลเกิด
ปิดใจ ไม่เปิด...........................หลงรัก เตลิด สุโข
อย่ามัก ง่ายรัก.........................อย่ามัก คำลวง พาโล
อย่าประ มาทโม-......................หะหลง รักไม่ โงหัว

    รู้จัก ศึกษา..........................มนา สัตว์ใน มนุษย์
ไม่สิ้น ไม่สุด............................ไม่หยุด กระทำ ความชั่ว
ไม่ยึด กฎเกณฑ์........................นอกจาก ความเห็น แก่ตัว
คนจึง น่ากลัว............................อย่ามัว เมาจะ เศร้าใจ ฯ

๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ลมหายใจของความรัก : กาพย์ฉบัง๑๖



ลมหายใจของความรัก : กาพย์ฉบัง๑๖

    ในห้วงแห่งหฤทัย............ของใครต่อใคร
กำเนิดเกิดภายใต้นภา

    มีสิ่งหนึ่งซึ่งตรึงตรา............ระหายโหยหา
อยู่ชั่วชีวาพาที

    น้ำทิพย์หล่อเลี้ยงฤดี..............ให้ทุกชีวี
มีสุขรุกล้นจนมลาย

    สัจสิ่งไม่อิงหญิง/ชาย.............เด็ก/แก่ แดดาย
ต่างหมายมีรักภิรมย์

    สัมผัสเริงรื่นชื่นชม.............สุนทรีย์นิยม
เสพลมหายใจของความรัก

    ไม่ใช่กับคนเป็นหลัก..............หลายสิ่งยิ่งนัก
รสรักล้วนรัญจวนใจ

    เช่นรักป่าดงพงไพร.............ธรรมชาติสดใส
อรุโณทัยแลสายัณห์

    รักศิลปะวัฒนธรรม์............กวีวรรณกรรม์
ล้วนชวนหรรษ์สันติ์สุขี

    รักบุญทานการทำดี.............จิตสุจริตมี
เสริมศรีแด่ชีวันดล ฯลฯ

    " รู้จักรัก " นะกมล.............สรรค์ศุภผล
ถกลเกริกกล้าเกรียงไกร ฯ

๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖ 

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไม่ท้อต่อปัญหา : สาลินีฉันท์



ไม่ท้อต่อปัญหา : สาลินีฉันท์
(ละเลยฉันทลักษณ์บางตำแหน่ง)

    ลมพา ฝนมาพรำ................อุทก ร่ำ กระหน่ำไหล
ตกปาน สำราญไป..................คะนองสาด ขนาดหนัก

    เมฆา หมดฟ้าคลุม..............ประเชิญรุม ประชุมรัก
มืดท้น หม่นมัวถัก...................ทะมึนยี สุรียน

    สักครู่ ค่อยสู่คลาย..............พิรุณหาย สลายหน
แต่ฟ้า ยังมืดมน......................ระคนเมฆ อเนกมอง

    ฝนหนัก ตกไม่นาน..............ทยอยผ่าน ทะยานผอง
แม้ฟ้า หาเรืองรอง...................ก็ผ่อนหนัก กระหน่ำเนือง

    ชีวัน ปัญหาว่อน..................สะเทือนย้อน สะท้อนเยื้อง
ติดขัด อึดอัดเคือง....................และปลดเปลื้อง ประสบไป

    หากแม้น ไม่มัวมน................ประมาทตน กุศลใต้
บาปกรรม บำราบไกร.................ประพฤติถ่อง ประคองธรรม

    ปัญหา ให้หนาหนัก...............ก็พอปัก อุราป้ำ
คลี่ไข คลายกรมกรำ..................ระส่ำสิ้น ชิวินธร(ชิวิน=ชีวิน)

    อย่าท้อ ต่อปัญหา..................ริปัญญา อดิสร(อดิสร=ประเสริฐ)
อดทน อำพน พร........................อนาทร ทุกข์ร้อนเอย ฯ(อำพน=งาม)

๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ 

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บาป-บุญ-คุณ-โทษ : กลอนเจ็ด



บาป-บุญ-คุณ-โทษ : กลอนเจ็ด

    ปลูกพันธุ์ พฤกษา ถวายวัด..........ตัดแต่ง ภูมิทัศน์ จัดจนสวย
ต้นฝน ต้นน้ำ เอื้ออำนวย.................งอกงาม ล้ำด้วย ทวยมาลี

    แต่คน ดูแล แกเกียจคร้าน............แต่งกิ่ง แต่งก้าน งานเหนื่อยหนี
เลือกตัด โคนต้น โล้นไร้มี.................รอ ยอด ใหม่ผลิ กี่สัปดาห์ ?

    ทำดี มิไร้ อุปสรรค......................หนักอก หนักใจ ใยเล่าหนา
ทำได้ ก็ทำ ตามปัญญา....................ไม่ได้ ไม่บ้า ฝ่าฝืนมัน

    น้อยคน นักจัก รักทำดี..................มากมี โลภโม หะโทสัน
น้อยนัก จักเชื่อ กฎแห่งกรรม์..............ส่วนใหญ่ ยึดมั่น ตัณหาตน

    ยังมี ที่ทาง ให้สร้างบุญ.................ตราบโลก ยังหมุน จำรูญหน
ยังมี บุญกล้า ในสากล.......................รอคน สนใจ ใคร่ก่อการ

    อย่ารัก มักง่าย ไร้บุญผล................เสียทรัพย์ อับจน คนชั่วผลาญ
ตั้งใจ ทำบุญ สร้างสุนทาน..................พิจารณ์ กาล-เทศ-เหตุ-บุคคล ฯลฯ

    จึงจะ ได้บุญ สุนทรจิต....................ประสิทธิ์ กฤดา ศุภาผล(กฤดา=ที่ทำไว้แล้ว)
ด้วยทุน บุญมาน บันดาลดล.................เป็นสุข ทุกข์พ้น ท้นเกรียงไกร

    บาป-บุญฯ-คุณ-โทษ โปรดสดับ........ทำมา หาดับ สูญลับไร้
วิบาก จักตาม ติดกรรมไป.....................จนกว่า จะใช้ ให้หมดเอย ฯ

๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จังหวะชีวิต : กาพย์ยานี ๑๑



จังหวะชีวิต : กาพย์ยานี ๑๑

    ปรากฏ การณ์แห่งฤดู...............หมุนเวียนสู่ อยู่-จากไป
จังหวะ เวลาไหว.........................ความเคลื่อนไหล ในโลกา

    ชีพสรรพ ต่างรับรู้....................ปรับตัวสู้ อุเบกขา
ดำเนิน เผชิญชีวา........................เข้าจังหวะ จะโคนคล้อง

    พฤกษา ผลาผลิ ดอก...............ส่ำสัตว์ออก ลูกคลอกผอง
น้อมนำ ตามครรลอง.....................ท่วงทำนอง ของฤดู

    พินิจ ชีวิตคน...........................ความสับสน วนเวียนสู่
ตั้งตา ศึกษาดู..............................เพื่อเรียนรู้ คู่สร้างสรรค์

    ชีพจร แต่ละขณะ......................มีจังหวะ ไม่เหมือนกัน
วิถี แห่งชีวัน.................................มีพลิกผัน ปันแปลกไป

    จังหวะ แห่งชะตา.......................ช่วงชีวา อายุขัย
สังเกต เหตุปัจจัย............................ปรับตัว-ใจ ให้คล้องดี

    บุญมา วาสนาส่ง.........................จงเร่งสร้าง ทางสุกศรี
วิบาก ยากเย็นมี...............................สงบสติ ฤดีปลง

    อย่าฝืน ให้ขื่นขม..........................ยากวิกรม สมประสงค์(วิกรม=มีชัยชนะ)
ตั้งใจ ตรองให้ตรง.............................เจตจำนง จงจริงเอย ฯ

๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง : กลอนสำนวนไทย(กลอนหก)



เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง : กลอนสำนวนไทย(กลอนหก)

    เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง...............วิถีทาง ที่โง่เขลา
ไม่ตรองตน คนอย่างเรา...............คิดเคียงเขา ใคร่เท่าเทียม

    เห็นเศรษฐี มีเงินถัง.................ใช้จ่ายตังค์ อย่างไม่เขียม
ตัวยากจน ตนไม่เจียม..................อยากอาจเอี่ยม เปี่ยมอวิชชา

    ขยายความ ตามภาษิต.............ใช้ชีวิต ใคร่คิดหา
เลียนแบบเขา เบาปัญญา...............ไม่พิจารณา สามารถตน

    ก็รังแต่ จะแส่หา.......................หนักอุรา อาเพศผล
ทุกข์ทรมาน ปานอยู่บน..................ปลายหอกฝน รนเปลวไฟ

    จ่ายเกินตัว พัวพันหนี้.................ความสุขี มีที่ไหน ?
ทำเกินตัว หนักหัวใจ......................ปัญหาใหญ่ อุปสรรคยาว

    ทำเท่าที่ มีสามารถ.....................อย่าเอื้อมอาจ ผงาดหาว(หาว=ท้องฟ้า)
หยุดถวิล ดินเป็นดาว.......................ค่อยๆก้าว เบาอุรา

    หาให้มาก กว่าอยากใช้................ใช้ให้น้อย กว่าคอยหา
รู้เก็บออม ยอมอุตส่าห์......................ภายภาคหน้า จะมั่งมี ฯ

๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คุณ...ครู : อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑



คุณ...ครู : อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑

    " คุณ " ครู ปุราณเขา...............ทะนุเยาว์ ประหนึ่งญาติ
ครูสู้ ประสิทธิ์สาสน์......................วิทยา วรากร(สาสน์=คำสอน,วรากร=วร+อากร)

    ทุ่มเท หทัยให้........................ศิษย์ไซร้ ประเสริฐสร
ทุกขา อนาทร.............................ทุรจร บ่ถอนใจ

    ไม้เรียว กมลดัด.......................วุฒิสัตย์ วิรัชศรัย(วุฒิ=เจริญ,วิรัช=บริสุทธิ์)
สร้างคน สุชนไคล........................ปริวัฒน์ ไผทสยาม(ไผท=แผ่นดิน)

    สำนึก พระคุณครู......................ปิยะผู้ ประภาษภาม(ประภาษ=บอก,ภาม=เดช)
พึงมี พิธีหลาม..............................คุรุธรรม ชุลีทาน(ชุลี=ไหว้)

    แต่ครู สมัยใหม่.........................รติใคร่  ฤทัยขาน
ร่ำรวย ศฤงคาร.............................พิษฐาน สราญที(พิษฐาน=มุ่งหมาย)

    " ครู " สา ระอาชีพ....................สถิร์รีบ แสวงศรี(สถิร-=มั่นคง)
เพียงหมาย เพาะมั่งมี.....................ธนสาร ตระการกาม(ธนสาร=สมบัติ)

    เห็นแต่ ประโยชน์ตน..................อกุศล กมลทราม
ความดี มิมีตาม.............................บุพะวัตร (ตระ)จรรยา

    โรงเรียน พิเศษสอน...................ผลิสลอน สะท้อนหรา
ใจครู จุราคา...............................วณิชา ประกอบกิจ(ราคา=ราคะ,วณิช=การค้าขาย)

    ขายเกรด ปริญญา......................อวิชา อนาถชิด
ลูกค้า ก็คือศิษย์.............................ปิยะสาธย์ พินาศสำ(สาธย-=ควรทำให้สำเร็จ)

    คุณครู มิรู้ค่า.............................." คุรุ "ฐา นะอาธรรม(อาธรรม=อธรรม)
ศิษย์จง บ่ทรงจำ.............................นรจิต วณิชชา ฯ(วณิชชา=พ่อค้า,แม่ค้า)

๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖


*แฉยับ! ร.ร.ดังย่านพระราม 6 เรียกเงิน 4 แสนเข้า ม.1 ไร้ใบเสร็จ 

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ศรัทธาชีวิต : กลอนเปล่า



ศรัทธาชีวิต : กลอนเปล่า

ฝนฟ้า...เริ่มจะมาตกหนักเอา
ณ ตอนรุ่งเช้าของวันเข้าพรรษา
โดยไม่ปรารมภ์ ต่อเสียงโอ้โลมของสกุณา
สุริยาหายหน้าเห็น เร้นไร้ไม่สาทร(สาทร=เอื้อเฟื้อ)

ปโยชนม์ล้นฟ้า...จรดขอบฟ้า
สุดสายตา...ปรากฏเป็นเมฆาสีเทา ดูเศร้าซ่อน
หยาดฝนหล่นริน จนกลบสิ้นดินดอน
เป็นประหนึ่งธาราสาคร สรสาคเรศ(สาคเรศ=แม่น้ำ)

๏ เมื่อสายฝนหนักเข้า
สกุณาเล่า ต่างพากันสงบเสียง
เหลือเพียงเรียงพิรุณ สุนทรียเดช
ขับกล่อมบรรเลง บทเพลงแห่งปรเมษฐ์(ปรเมษฐ์=พระพรหม)
ที่สร้างและหล่อเลี้ยงชีวี ในโลกีย์นิเวศน์
ทั้งมวล...

ไพบูลย์พิสุทธิ์อุตส่าห์
แม้ล่วงสู่เพลาสาย มิหายหวน
ฝนยังคงร่ำ ฟ้ายังคงคร่ำครวญ
ลมยังคงผวน รัญจวนพิรี้พิไร

โดยไม่ใส่ใจ ในอุปสรรค
กรรมาชนคงอดทนทำงานหนักกันขวักไขว่
เพื่อเลี้ยงชีพของตน ด้วยผลต่างของการย์ไกร
เหน็ดเหนื่อยลำบากยากแค่ไหน ยังสู้ทน

หากไร้ซึ่งศรัทธา ต่อชีวานฤมิต(นฤมิต=สร้าง,ทำ)
คงไร้คนผู้สู้อุทิศจิตใจ ในท่ามกลางความขัดสน
อันไร้เมตตาของโลกาสัจสากล
เพื่อสรรสร้างผลิตผล ให้ผู้คนบนโลกได้ใช้-กิน

  ผองชีวี จงมีศรัทธาเถิด
เมื่อเราได้เกิด ย่อมประเสริฐเสมอกันไปไม่รู้สิ้น
ไม่มีใครสูงค่าเคียงฟ้า ไม่มีใครต่ำค่าเพียงดิน
ก็เมื่อทั้งดิน ฟ้าและชีวิน
ล้วนเป็นส่วนประกอบหนึ่ง 
ของธรรมชาติเดียวกัน ฯ


๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กุศล มนเยาว์ : กาพย์สุรางคนางค์ ๓๒



กุศล มนเยาว์ : กาพย์สุรางคนางค์ ๓๒

    รุ่งอรุ โณทัย.............ในวาร วสันต์
ลับลี้ สุริยัน...................พรรณสณฑ์ หม่นหมอง
เมฆกลบ นภดล.............ท้นขอบ ฟ้าครอง
แสงเซื่อง เรืองรอง.........ส่องพื้น ปถพี

    ลมโชย โรยชาย.........สยาย สายฝน
ละออง ฟ่องล้น..............ระคน ขาวสี
เวลา ประดุจ..................หยุดนิ่ง ยิ่งนที
หน้าแล้ง แหนงหนี..........ไม่คลี่ คลาไคล

    แต่หัว ใจเต้น.............เป็นสิ่ง เตือนว่า
นที ชีวา........................ยังบ่า ยังไหล
พัดพา อายุ....................ล่วงลุ เลยไป
บ่เลือก หน้าใด...............ให้โหยโรยรา

    เพลา พาเอา..............เยาว์วัย ไปด้วย
ความสาว ความสวย.........ม้วยมอด สิเนหา
แต่จิต ใจงาม..................ไม่ทราม นำพา
ล่วงวาร เวลา...................วัฒนา สถาวร

    กุศล กลการ................ดาลยล มนเยาว์
ไม่แก่ ไม่เฒ่า...................หนุ่มสาว สโมสร
สดชื่น เปล่งปลั่ง...............ดั่งฟ้า อมร
รุ่งอรุณ สุนทร...................อากร พรชัย ฯ(อากร=บ่อเกิด)

๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อาสาฬหบูชา : กาพย์ยานี ๑๑



อาสาฬหบูชา : กาพย์ยานี ๑๑

    ยอแสง แยงสายัณห์...............เพ็ญพระจันทร์ พลันสุกใส
ล่วงท้อง นภาลัย.........................สว่างไสว พิสุทธา

    เรืองราง ณ กลางใจ................คือแสง(เลื่อม)ใส ในศาสนา
รายล้อม พร้อมเพรียงมา...............เพื่อบูชา ประภาสร

    ธารเทียน ที่เวียนวน.................ธูปสุคน ธะกำจร
ประณต กชกร.............................ประทักษิณ ถวิลศรี

    ศรัทธา พระตรัยรัตน์.................อาสาฬะฯ หัช รัชนี(หัช=ยินดี,รัชนี=กลางคืน)
บูชา สุมาลี.................................โสภีพร้อม นอบน้อมเพริศ

    ปฐม (มะ)เทศนา......................พระอัญญาฯ ดวงตาเกิด
พุทธศาสน์ พิลาศเลิศ....................ประเสริฐสิทธิ์ สถิตแล้ว(สิทธิ์=ความสำเร็จ)

    วันเพ็ญ เดือน ๘ ย้อน................อนุสรณ์ สังวรแกล้ว
พุทธองค์ ทรงแนะแนว...................ปฏิบัติ พ้นวัฏฏา

    ไม่ทร (ระ)มานตน.....................ไม่สาละวน กามสุขา
สายกลาง ทางมัชฌิมา...................ปฏิปทา นฤพาน(นฤพาน=นิพพาน)

    วิถี อริยสัจ...............................คงยืนหยัด คู่สังสาร
ผู้สู้ สมาทาน.................................จะสุขศานติ์ นิรันดร ฯ

๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แว่วคำ ของธรรมชาติ : กลอนคติสอนใจ



แว่วคำ ของธรรมชาติ : กลอนคติสอนใจ
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

    ฟ้าใส อะไร เช่นนี้.............ไม่มี เมฆา มาให้เห็น
ฟ้าสี ฟ้าเข้ม เปรมเป็น............ใสจน จะเห็น ทั่วจักรวาล

    เช้าที่ สุรีย์ เจิดจ้า..............ร้อนแกร่ง แรงกล้า มหาศาล
ปริทัศน์ ชัดคม ชมคราญ.........ชวนเขษม สำราญ บันเทิง

    ลมเล่า คอยเป่า คอยพัด......บำบัด ปัดร้อน ป้อนหลงเหลิง
ลมสงบ สบร้อน ย้อนเยิง...........จนใจ เปิดกระเจิง เปิงกระเจิด(เยิง=ป่าเถื่อน)

    ได้ยิน ดินบอก นภดล...........ถึงคน เนรคุณ บุญละเมิด
หลงตน ล้นทรัพย์ ประเสริฐ........รวยล้ำ ร่ำเลิศ เชิดเหนือใคร

    ดินฝาก อยากให้ ใคร่ครวญ....ทรัพย์ล้วน เจ้าหา มาจากไหน ?
ถึงครา อาสัญ บรรลัย................ทรัพย์ไซร้ ให้ล้น หาพ้นดิน

    สุรีย์ นิภา ปราศรัย.................คนเก่ง คนไกร อวดไม่สิ้น(นิภา=เทียบ)
สุรีย์ สร้างสรรพ ชีวิน..................หาถวิล โอ้อวด ประกวดประชัน

    นภา ว่าคน ขวนขวาย.............หมายครอง ยิ่งใหญ่ ใคร่เหยียดหยัน
จะใหญ่ สักแค่ ไหนกัน ?.............ล้วนต่ำ ใต้ฉัน ปานธุลี

    ธรรมชาติ พิจิตร พิสดาร..........ไม่หลง ตนร่าน สะคราญศรี
คนไซร้ ร่างกาย หลายด้วยขี้.........ยังมี หน้ามา หลงว่างาม ฯ

๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มักง่าย : โคลงสี่สุภาพ



มักง่าย : โคลงสี่สุภาพ

. มวลมืดเคลื่อนคลุมหล้า............คำรน
ปั่นป่วนปโยชนม์.........................ปราดใกล้(ปโยชนม์=เมฆ)
กรีฑาทั่วนภดล...........................พลผง่าน
ดุจจะหั่นโลกให้..........................ล่วงแล้วนรกานต์ ฯ(นรกานต์=นรก)

. พิรุณรินทีละน้อย......................ทีละนิด 
ค่อยถี่ค่อยรณฤทธิ์........................แรงล้ำ
ปัถพีค่อยลับมิด...........................เหลือแต่ ธารา
หยาดหยดกระทบกล้ำ...................ก่อน้ำกระเด็น ฯ

. ณ ศาลาเก่าใกล้.......................ไทรงาม
ฝนรั่วรดเปียกตาม.........................แต่น้อย
ภายนอกม่านฝนลาม......................ลมไล่
สาดซ่าเสียงเรียงร้อย.....................ร่าเร้าเริงฤดี ฯ

. นักเรียนเดินฝ่าน้ำ......................กรำฝน
กลับจากโรงเรียนจน......................เปียกผ้า
มิเตรียมร่มกันตน...........................ก่อนจาก เรือนฤา ?
" มักง่าย " ไม่คิดหน้า.....................หาป้องกันหน ฯ

. ชีวีมีเรื่องให้...............................มองเห็น
" มักง่าย " มากมายเป็น...................เหตุม้วย
ตกระกำลำบากเข็ญ........................." มักง่าย " นำมา
สูญสิ่งมีค่าด้วย...............................ง่ายม้างวางใจ ฯ(ม้าง=ทำลาย)

. " มิประมาท " ยอดเยี่ยมล้ำ.............ธรรมธร(ธรรมาธร=ธรรม+อาธร)
สวัสดิพิชยากร.................................ก่อรั้ง
กิจการสืบสังวร.................................ไม่ " มัก ง่าย " นา
ประสิทธิ์ชีวิตตั้ง................................อยู่ด้วยอนาดูร ฯ(อนาดูร=ไม่เดือดร้อน)

๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ใจคน จนใจคิด : กาพย์ยานี ๑๑



ใจคน จนใจคิด : กาพย์ยานี ๑๑

    วัสสา วนาศานติ์..............สุขสราญ ปานสวรรค์(วัสสะ=ฤดูฝน)
พฤกษา สารพัน...................ต่างประชัน กันเติบโต

    วัลลี รี่เลี้ยวลด.................เลื้อยเคี้ยวคด ไวขดโข(วัลลี=เถาวัลย์)
ต้นไทร ไตรแข่งโพ..............ใบดกโก้ โอ่อ่าพี(ไตร=ไกร)

    ลั่นทม ระดมออก..............เป็นละลอก ดอกหลากสี
วัชพืช ยึดปัถพี.....................เพิ่มทวี ที่แพร่พันธุ์

    มองดู ผู้คนไม่..................แผกแปลกไป กว่าไพรสัณฑ์
อุ้มชู เลี้ยงดูดัน.....................ยิ่งเหิมหัน สันดานดล

    ยิ่งรวย ก็ยิ่งโลภ................จิตละโมบ ระหายหน
คิดแต่ เห็นแก่ตน...................เหยียบย่ำคน จนร่ำไป

    ยิ่งได้ ยิ่งใคร่คด.................ทรยศ เยี่ยงขดไส้
หมดทาง ไว้วางใจ..................ในชั่วชน ฉลโฉดเชียร

    ยิ่งห้ำ ยิ่งอำมหิต.................โหดเหี้ยมจิต สถิตเสถียร(ห้ำ=เข้าทำร้าย)
หรรษา หาเบียดเบียน...............เปลี่ยนเป็นสัตว์ ฉกาจฉกรรจ์

    ยิ่งล้น กุศลศิษฏ์.................สุจริต มิผิดผัน(ศิษฏ์=ฝึกแล้ว)
ยิ่งให้ ยิ่งใฝ่ปัน........................สรรค์สร้างศรี สิ่งดีงาม

    ใจคน จนใจคิด.....................เปลี่ยนแปลงผิด อย่าพิศพล่าม
ก่อนดี เดี๋ยวนี้ทราม....................ก่อนเคยทราม กลับงามดี

    เป็นเพราะ ประสบการณ์..........สร้างสันดาน สานวิถี
ครรลอง ของชีวี.........................สืบคติ โสตถิตา ฯ(โสตถิตา=มีความเจริญ)

๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ราคะ ปัญหาเหตุ : กลอนคติเตือนใจ



ราคะ ปัญหาเหตุ : กลอนคติเตือนใจ

    ผ่านคืน ชื่นฉ่ำ ฝนพร่ำพร่า..........นภา สะอาด ปราศเมฆหมอง
อรุณ รุ่งงาม ล้ำเรืองรอง..................แสงสูรย์ สีทอง ส่องอำไพ

    เคลื่อนพ้น พงพี สุรีย์สว่าง...........ทุกอย่าง แจ่มชัด ถนัดไฉน
กระแต ก็ต่าง ระวังระไว...................เกาะไต่ ไม้เต้น ละเล่นรตี(ระตี=ความยินดี)

    ผีเสื้อ หางตุ้ม จุดชมพู.................บินคู่ ชู้เกี้ยว พาราสี
พิลาส นาฏกรรม สำคัญมี.................ดนตรี บรรเลง บทเพลงรัก

    สืบพงศ์ ส่งพันธุ์ จรรโลงหล้า........ไม่คิด พิจารณา อุปสรรค
ธรรมชาติ ขาดแคลน แร้นไร้นัก..........ลูกจัก รอดตาย / วายชีวัน ?

    คนไซร้ ไม่เลิศ ประเสริฐกว่า..........ราคะ พร่าจิต ติดกระสัน
อยากเสพ รสกาม เพศสัมพันธ์............มีคู่ มีครรภ์ ลูกหลานครอง

    โดยไม่ คำนึง ถึงฐานะ..................ปัญหา อนาคต มิจดจ้อง
ใจอยาก จักย้ำ นำครรลอง.................ดำริ ตริตรอง สนองตน

    จึงเป็น ที่มา ปัญหาหลาก...............สังคม สมยาก ลำบากหน
ขาดแคลน ฝืดเคือง เนืองแน่นคน.........สร้างเภท เหตุผล ล้นเพิ่มพี

    รู้จัก หักห้าม อย่าตามใจ.................อย่างไร้ ขอบเขต ประเวศศรี(ประเวศ=การเข้าถึง)
ปัญหา สารพัน บรรเทามี.....................ชีวี สุขสันติ์ นิรันดร ฯ

๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ความคิด " ควายๆ " : กลอนสังคม-การเมือง(กาพย์ฉบัง๑๖)



ความคิด " ควายๆ " : กลอนสังคม-การเมือง(กาพย์ฉบัง๑๖)

    พวกแกโง่โศกาดูร............เพราะรัฐธรรมนูญ
" ไม่เป็นประชาธิปไตย " ?

    โทษพ่อโทษแม่แกประไร.............โง่แล้วทำไม
ยังอยากยังใคร่สืบพันธุ์ ?

    เกิดมายากจนอย่าดัน.............." ไม่เท่าเทียมกัน "
เผ่าพันธุ์แกมันจนเอง

    การเรียนไม่พากเพียรเพ่ง..............ทำตัวนักเลง
อวดเก่งก่ออาชญากรรม

    ต้องโทษติดคุกยุติธรรม.............ยังอยากปรักปรำ
" คุกทำไว้ขังคนจน "

    งานการคร้านเกียจเดียดดล.............ไม่อดไม่ทน
ยังบ่นว่า " ค่าแรงต่ำ "

    กินเหล้าเมาหัวราน้ำ..............ทุกวันเช้าค่ำ
เมาค้างไม่คิดทำงาน

    โทษ " ทุนนิยม " สามานย์.............." เอาเปรียบแรงงาน "
ไม่โทษสันดานโสมม

    สารพันพนันนิยม.............ดวงจิตติดจม
สั่งสมเป็นหนี้เป็นสิน

    ขายที่อยู่-ที่ทำกิน...............ยังมาเล่นลิ้น
ชีวิน " เป็นทาสนายทุน "

    ข่มขืนปล้นฆ่าทารุณ..............ต้องโทษประหารดุล(ดุล=ความเสมอกัน)
อ้างนู่น..." ขัดสิทธิมนุษยชน "

    ละเมิดกฎตามใจตน...............สุดแสนทรามจน
สมคนก่นด่าว่า " ควาย " ฯ

๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รสข้าวยุคเผาไทย : โคลงสี่สุภาพ



รสข้าวยุคเผาไทย : โคลงสี่สุภาพ

. กินข้าวทุกวันนี้................สังเกต
รสชาติเพียงส่วนเศษ...........ก่อนครั้น
สิ่งไรส่อสาเหตุ...................รสชั่ว ?
หรือแค่มีกิน ; ชั้น................ไม่รู้ไม่เห็น ?

. ชาวนาเลิกปลูกด้วย.........ปักดำ
นาหว่านสำราญทำ...............งานน้อย
ฉีดยาฆ่าหญ้ากำ-.................จัดบ่อย
สารเคมีสารพัดพร้อย............ใส่เข้าเมามัน ฯ

. ทันสมัยเลิกเกี่ยวข้าว........เคียวถือ
เครื่องเกี่ยวเดี๋ยวนี้คือ............สิ่งเอื้อ
นาไทยไม่มีกระบือ...............ครองทุ่ง
เลือนโล่งคันนาเรื้อ...............นกเอี้ยงหงอยเหงา ฯ

. เริ่มเกี่ยวตั้งแต่ข้าว............ยังเขียว
เมล็ดอ่อนทอนรสเทียว...........หอมไร้
ดินขาดการแลเหลียว..............ปล่อยปละ
ปุ๋ยอินทรีย์ไม่ใช้.....................ซังข้าวเผาผลาญ ฯ

. เผาไทยจำนำข้าว..............แทรกแซง
ขายไม่ออกเพราะแพง.............สุมไว้
เกิด รา-เน่า-มอด-แมลง...........เหม็นเฉ่า(เหม็นเฉ่า=ศัพท์วัยรุ่น)
เอายาพิษรมให้........................กินได้ละหรือ ? 

. พ่อค้าเหมาข้าวเน่า..............ขัดสี
ขายต่อประชาชี.......................ขื่นซื้อ
ทนกินเพราะไม่มี......................ทางเลือก
วงการข้าวถูกรื้อ.......................ล่วงล้ำทำลาย ฯ

. ชีวิตคนยุคใช้......................เครื่องจักร
ใจจึ่งเคียงเครื่องจักร.................คลึงใกล้
รสข้าวราวแป้งสัก.....................แต่ว่ากิน
หมดกลิ่นดอมหอมไร้.................พิษร้ายสะสม ฯ

๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คำสัตย์ ฟังขัดหู : กลอนคติสอนใจ



คำสัตย์ ฟังขัดหู : กลอนคติสอนใจ

    ดอกลีลา วดี คลี่สุคนธ์.................หลังหยาดฝน หล่นริน จนสิ้นสาย
หอมละมุน กรุ่นอ่อน ขจรขจาย...........เคล้ากลิ่นอาย อวลชื้น ชวนรื้นรมย์

    หลังชโลม พรมน้ำ พรำฉวี............ลีลาวดี สีสด งดงามสม
ถึงชื่อเดิม เริ่มนั้น คือลั่นทม...............ไร้ทีท่า ระทม ตรมฤทัย

    เมฆฝนเคลื่อน เลื่อนขับ ไร้ลับคลา...ท้องนภา สว่าง ขจ่างใส
หยดน้ำขัง ยังขอด ปลายยอดใบ..........คงแห้งไป ในเวลา ไม่ช้านาน

    แม้ลีลา วดี มีดอกสวย....................หอมระรวย ช่วยให้ หทัยหาญ
แต่กลับไร้ ผลสรรพ รับประทาน.............ชวนเปรียบปาน อัชฌา วาจาชน

    ลางคนช่าง ฉอเลาะ เสนาะหู...........เมื่อคบสู่ รู้ซึ้ง ไร้พึงผล
มือถือสาก ปากถือศีล ปลิ้นปล้อนปรน.....เห็นแก่ตน มลทินมาน  อันธพาลมี

    วาจาที่ จริงใจ ไม่เสนาะ..................เหตุผลเพราะ พูดตรง ธำรงศีล์
ไม่ลวงหลอก กลอกกลิ้ง หวังสิ่งดี..........อกเมตตา อารี มิเห็นแก่ตน

    มักไม่ถูก ใจคน กมลคด...................ชอบพูดปด มดเท็จ ขาดเหตุผล
เป็นโลกีย์ วิสัย ในสากล.......................ทั้งคนจน-มั่งมี มิแผกพาน

    ฟังถ้อยคำ ธรรมสัตย์ แสนขัดหู..........ใครตักเตือน เหมือนศัตรู คุณาผลาญ
ถูกสั่งสอน ย้อนคำ ไถยรำคาญ................คือคนพาล ; คร้านพูด หยุดปากเทอญ ฯ

๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖