ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีแก้กรรม : กลอนดอกสร้อย



วิธีแก้กรรม : กลอนดอกสร้อย

    แก้เอ๋ย แก้กรรม..........................แก้ลำ กรรมเก่า เราก่อไว้
หวังกลบ ลบเกลื่อน เลือนหายไกล......คุณไส ยศาสตร์ วิปลาส ดล

    เพราะมี ชีวา อุปสรรค...................ทุกข์หนัก กรากกล้ำ ทำลายผล
ไม่มี ปัญญา พอพาตน......................ผ่านพ้น เภทภัย ใจกรมกรอม

    ดวงจิต มิจฉา หาทางออก.............กลิ้งกลอก โง่เขลา คือเบ้าหลอม
ค้นคิด มิจฉา มารยามอม...................ยินยอม พร้อมทำ กรรมพิธี

    ตั้งแต่ ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก..................แค่หมาก พลูหา ขอขมาผี
กระทั่ง โฉดฉล กลกาลี......................สร้างความ บัดสี พิสดาร

    เมื่อทำ บาปไว้ ในกาลก่อน.............บาปย่อม ตามย้อน ทอนสุขศานติ์
ทำตัว ชั่วช้า มายาวนาน....................ชั่วสม ขมซ่าน คือครรลอง

    ไม่มี วิธี วิเศษดอก........................อย่าให้ ใครหลอก ขี้ครอกข้อง
ล้วน " มิจ ฉาชีพ " รีบตรึกตรอง...........อย่าต้อง แปดเปื้อน เถื่อนราคิน

    ก้มหน้า รับกรรม ที่ทำเถิด...............หน้าเชิด ชดใช้ ให้หมดสิ้น
กรรมใหม่ ไกลบาป หลาบจำจินต์..........ตราบชั่ว ชีวิน ภิญโญพร(ภิญโญ=ยิ่งขึ้นไป)

    เป็นวิ ธีการ อันซื่อตรง....................ธำรง พุทธิ อดิศร(พุทธิ=ความฉลาด)
เป็นวิ ธีแก้ กรรมแน่นอน......................ไม่หลอก ยอกย้อน บวรเอย ฯ


๓๐ กันยายน ๒๕๕๖

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

น้ำท่วม<=ปัญหา=>เศรษฐกิจ : กลอนคติเตือนใจ



น้ำท่วม<=ปัญหา=>เศรษฐกิจ : กลอนคติเตือนใจ

    เห็นไม๊ ? เห็นไม๊ ?..........................คนทำตามใจ จนไร้เหตุผล
เพียงเพื่อตอบสนอง ตัณหาของตน.........เภทร้ายภัยล้น ท้นท่วมชีวา

    คิดย้ำความอยาก มากมายไปหมด......ทุจริตจิตจรด คดโกงคงหา
เห็นแต่แก่ตัว ไม่กลัวอาญา....................ทรัพย์สินเงินตรา โหยหาหทัย

    วิปริตบิดเบือน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ......สร้างผลมลพิษ วิกฤติการณ์ใกล้
ทำลายธรรมชาติ พินาศบรรลัย................เพียงเพื่อให้ได้ ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

    เห็นไม๊ ? เห็นไม๊ ?............................ต่างแข่งต่างใคร่ ขยายไปเรื่อยๆ
รุกล้ำผืนป่า ธาราไหลเนือย.....................หน้าแล้งแห้งเฉื่อย ปราศน้ำร่ำริน

    หน้าฝนล้นเหลือ เมื่อตกก็ท่วม.............บ้านช่องต้องร่วม ลำบากยากสิ้น
รัฐห่วงแค่ว่า อุตสาหกรรมอัมรินทร์............จะสูญเสียสิน เศรษฐกิจหมิ่นมรณา

    แรงน้ำล้ำหน้า มูลค่าเศรษฐกิจ.............ชลธีชีวิต วิปริตหนักหนา
เพราะโลภมากมาย กรายการพรรณนา.......ใจบาปหยาบช้า บ้าเห็นแก่ตัว

    ก่อร่างสร้างรัด น้ำพัดไปหมด...............ทรมานรันทด อดที่ซุกหัว
ต้องนอนข้างถนน มืดมนหมองมัว..............สร้างเนื้อสร้างตัว ชั่วชีวาเพื่ออะไร ?

    โลกเริ่มเตือนว่า เวลาใกล้จะหมด..........ธรรมชาติพยศ ถดทางแก้ไข
หากคนยังเขลา คิดเอาตามใจ...................โลกันตร์วันใกล้ อยู่ได้ไหมเอย ?(โลกันตร์=นรก)

๒๙ กันยายน ๒๕๕๖    

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

ในความสงบ : กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘



ในความสงบ : กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘

............................ฝนมา กระหน่ำ
เมื่อตอน หัวค่ำ........ฉ่ำชื่น ไฉน
เอื้ออา นิสงส์...........ป่าดง พงไพร
หมดจด สดใส..........ไร้ครา ราคี

.............................หลังฝน พ้นผ่าน
พนา ตระการ............บรรยา กาศศรี
นิ่งเงียบ สงัด............สวัสดิ์ ทัศนีย์
ทุกสิ่ง ไม่มี..............เคลื่อนไหว ใดเลย

.............................เป็นความ สงบ
บนผืน พิภพ.............ประเสริฐ เปิดเผย
ภิรมย์ สมดุล.............แด่ผู้ คุ้นเคย
มิสร่าง วางเฉย..........เกยโล กียธรรม

..............................จำนง จงเจต
สงบ กิเลส................ปฏิเสธ บาปสำ
ไม่สร้าง มลทิน..........ในจิน ดาจำ
สืบสุจ (จะ)ริตกรรม.....สำราญ สัญญี

..............................สงบ ความคิด
เพื่อส งบจิต..............วิวิต โลกย์ลี้(วิวิต=ปลีกตัวไปอยู่ในที่สงัด)
เอกา ถกล................วิมล ฤดี(ถกล=งาม)
สันติ สุขี...................ไม่มี เปรียบปาน

...............................ออกจาก วังวน
แห่งความ ขัดสน.........บนวัฏ สงสาร
แม้เพียง ชั่วครู่............ย่อมอยู่ สำราญ
บนภพ สถาน...............สิ้นการ เบียดเบียน ฯ

๒๘ กันยายน ๒๕๕๖

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

รักลูกไม่ถูกทาง : กาพย์ยานี ๑๑



รักลูกไม่ถูกทาง : กาพย์ยานี ๑๑

    รักลูก ไม่ถูกทาง..............คอยเข้าข้าง สร้างนิสัย
ถ่อยทราม ทำตามใจ.............ไม่คำนึง ถึงศีลธรรม

    ถือตน เป็นที่ตั้ง................ดันทุรัง สมสั่งถัมภ์(ถัมภ์=ความดื้อ)
ก่อเรื่อง เลวเนื่องนำ..............ต้องตามแก้ พ้นแก่ทัณฑ์

    เลี้ยงเช่น ไปเป็นชั่ว...........เห็นแก่ตัว หัวคิดขัน(ขัน=กล้าหาญ)
ทุจริต มิจฉารั้น.....................อันธพาล เถื่อนมารยา

    เอาเปรียบ เหยียบย่ำคน.....หลงตัวตน จนเกริกกล้า
เปรียบตน ปนเทวดา..............ประเสริฐค่า กว่าใครดู

    เลี้ยงสัก แต่รักสบาย..........เท่าทำลาย ใจนักสู้
เกียจคร้าน การชื่นชู...............อยากกินอยู่ หรูเลิศเลอ

    งานหนัก ไม่อยากเอา.........ส่วนงานเบา เฝ้าบ่นเพ้อ
อุปสรรค ไม่อยากเจอ..............ปัญหาเก้อ เหรอหราเป็น

    ไม่อด ทนอดกลั้น...............ไม่บากบั่น ฟันฝ่าเข็ญ
ทำอะไร ไร้กฎเกณฑ์...............เอาแต่เล่น เช่นทารก

    มัวแต่ แบมือขอ..................เงินแม่พ่อ คอยมรดก
ไม่สะท้าน มานสะทก...............ท่านจากโลก หนักอกใจ

    เสื่อมเสีย วงศ์สกุล..............ลูกสถุล รุนสาไถย
ชั่วโฉด โทษผู้ใด ?..................ให้รักลูก ไม่ถูกทาง ฯ


๒๗ กันยายน ๒๕๕๖

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

เสียงร่ำไห้..จากห้วงลึกของหัวใจ : กลอนเปล่า



เสียงร่ำไห้..จากห้วงลึกของหัวใจ : กลอนเปล่า

ในอดีตที่ผ่านเลย
ฉันคุ้นเคยกับการได้ยินเสียงร่ำไห้
จากห้วงลึกของหัวใจ
ที่เหน็ดเหนื่อย...อ่อนไหว....และเคว้งคว้าง

หัวใจที่ใฝ่ฝันร้อยพันอย่าง
หัวใจที่ผิดหวังร้อยพันสิ่ง
หัวใจที่ไม่เข้าใจความเป็นจริง
เที่ยววิ่งไล่...ใฝ่ฝัน...ทะยานทะเยอ

ความคิดผิด นำพาชีวาพลาด
จิตใจบาดเจ็บ บอบช้ำ ซึมเศร้า
ฉันมักเฝ้าเหม่อมองดูท้องฟ้า ปรารถนาถึงดวงดาว
สายตาที่มืดมน...เฉื่อยเฉา 
ค้นหาแสงสว่างพร่างพราวไม่พบพาน

 ด้วยความด้อย น้อยความคิด
ดวงจิตได้แต่ภาวนาว่าคงสักวัน
เราจะพบกัน...
ฉันและฝัน
อย่างไม่แปรผัน...ปันเปลี่ยนไป

แต่ซ้ำแล้วและซ้ำเล่า
ที่ลองเสี่ยงก้าว...ล้ม และตรมตรอมใจ
ฉันจึงเริ่มฉุกคิดขึ้นได้
ว่าการมีชีวัน นั้นยากเพียงใด
และเราคงขาดไร้ สติปัญญา

จึงสู้เสาะบ่มเพาะความรู้
มุมานะเพื่อจะไปสู่ สัจจ์แสงแสวงหา
จนสุดท้ายจึงได้พบ และประสบศรัทธา
ในพุทธศาสนา...สาธุการ

ด้วยการปฎิบัติตามคำสอน
แสงสว่างเริ่มซอนซอก ทั่วไปในใจฉัน
หัวใจที่อ่อนแอ พ่ายแพ้และเขลาพาล
เริ่มแกร่ง...กล้า...หาญด้วยสติปัญญา

ฉันปล่อยความฝัน...ให้ไปตามฝัน
เลือกอยู่กับปัจจุบัน ลดความอยากทะยานนานา
ค่านิยมโลกีย์ทั้งหลาย มิไล่ล่า
พินิจ...พิจารณา...หาเหตุ-ผล

แม้ว่าฉันจะโง่เขลา
แต่การเฝ้ารักษาดวงกมล
ระวังใจ มิให้ก่อ อกุศล
ความหม่นหมองพร่องพ้น จน...สคราญพานผ่องใส

บัดนี้ฉันเลิกใฝ่ฝัน
เลิกทะเยอทะยาน ตะบี้ตะบันไป
เผชิญหน้ากับธรรมชาติที่เป็นจริง แสนยิ่งใหญ่
ทำในสิ่งที่ควรทำ และพยายามทำตามเป้าหมาย
โดยไม่คิดคาดหวัง...ให้ผิดหวัง

 เสียงร่ำไห้ค่อยเลือนหาย
ความมั่นคงธำรงใจ ไม่เคว้งคว้าง
ดูชีวิตราวกับเงาของความเปล่าว่าง
ทุกสิ่งที่โลกมีล้วนไม่จีรัง
ใครจะอยากอะไร...จะทำอะไรก็ช่าง...
ไม่นำมาวางไว้ในดวงวิญญาณ์
...ใจก็จะสบาย

ผู้คนดิ้นรน วิ่งวน จนอับ
ชีวิตกระสับกระส่ายกระหาย
ไปกับ ของที่นิยมนับ ว่า " มีมูลค่า "
ส่วนฉันหยุดวิ่ง เพราะยิ่งพบพานสัจจา
" ความสงบสุข มีคุณค่า "...เหนือกว่าอะไรทั้งสิ้น ฯ


๒๖ กันยายน ๒๕๕๖

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

" แดกห่า " นโยบาย : กลอนการเมือง



แดกห่า นโยบาย  : กลอนการเมือง

    ขอจำแนก " แดกห่า " นโยบาย..........จำนำข้าว เน่าฉิบหาย หลาย(แสน)ล้านแล้ว
ขนาดคน ล้นค้าน " ผลาญ " รู้แกว..........แต่พรรคแม้ว แน่วแน่ แถ..กอบโกย

    โครงการน้ำ สามแสน ห้าหมื่นล้าน......ประมูลปาน มูมมาม น้ำลายโหย
สมน้ำหน้า ศาลสั่ง ยับยั้งโดย.................กลิ่นโกงโชย เกาหลี ร่วมกีลา(คำผวนของ กาลี)

    รถไฟความ เลวสูง มุ่งส่งผัก...............คงชะงัก คาศาล รัฐธรรมนูญหนา
เพราะละเมิด กฎหมาย หลายมาตรา.........ส่อเจตนา " หาแดก " เลี่ยงแจกแจง

    เขื่อนแม่วงก์ จงใจ ทำลายป่า..............เพื่อ " แดกห่า " นโยบาย หมายแสวง
อ้างป้องกัน น้ำท่วม สวมรอยแจง.............จะหาแหล่ง ปลูกป่า ใหม่บ้าบอ

    น้ำท่วมขัง ยังไม่เท่า หนี้เน่าท่วม..........คนไทยอ่วม เป็นหนี้ใช้ ไหวหรือหนอ ?
ข้าวของแพง แซงรายได้ ไม่เพียงพอ........ทุกวันขอ แค่รอดตาย คลายชีวี

    ยังจะให้ ใช้หนี้ ที่(มึง) " แดกห่า "........ค่าไฟฟ้า ค่าสารพัดฯลฯ ขึ้นบัดสี
สาธารณูป โภคทั้งหลาย ขึ้นง่ายดี............พันธะวิธี หนี้ใช้ ไร้หนทาง

    ลดภาษี คนรวย เฮงซวยคิด.................สร้างวิกฤติ สังคม สั่งสมขวาง
รวยกระจุก จนกระจาย ขยายกาง...............เกิดช่องว่าง ทางชนชั้น หันห่างไกล

    ทุกวันนี้ ชัดเจน เห็นปัญหา..................นักการเมือง " แดกห่า " มิปราศรัย
จับได้->ฟ้อง->ล่องหน พ้นแดนไทย.........แค่เงินจ่าย ใต้โต๊ะ โล๊ะอาญา

    ทิ้งหนี้ไว้ ให้คนไทย ทั้งประเทศ...........ร่วมยากจน ล้นเทวษ สมเพชถา(เทวษ=ความลำบาก)
ผองไทยเรา รู้เท่าทัน กลมารยา..............นโยบาย ใคร " แดกห่า " ประเทศเทอญ ฯ


๒๕ กันยายน ๒๕๕๖

หมายเหตุ : นโยบาย " แดกห่า " มีมาก
ที่จริง อยากพูดถึงเรื่อง ลดภาษีสินค้านำเข้าแบรนด์เนมด้วย
แต่ไม่อยากให้ยาวเกินไป นำเอาแต่เรื่องสำคัญ มาแต่งแต่พอประมาณ

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

จิตใสดุจวัยเด็ก : กลอนจรรโลงใจ



จิตใสดุจวัยเด็ก : กลอนจรรโลงใจ
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

    ร่องรอย เรื่องฝน...........คือน้ำ นองล้น ท้นพื้น
ตกหนัก เมื่อคืน................รุ่งเช้า ชุ่มชื้น สดใส
เมฆคง คลุมฟ้า.................จากขอบฟ้า จรดฟ้าไกล
อรุณ เริ่ม(แต่)ไร้................ไม่เห็นมี  รังสิมา(รังสิมา=พระอาทิตย์)

    ฟ่อง ละอองฝน.............โปรยปรน ระคน อากาศ
สุทธา สะอาด...................ม่านฝน พิลาส โพลนพร่า(พิลาส=งามอย่างสดใส)
อณูเล็ก อณูน้อย................ค่อยๆโรย โปรยลงมา
นุ่มขาว พราวตา.................พาหัวใจ ให้ล่องลอย

    พฤกษา ขจี..................เช้านี้ เขียวสี เข้มใส
หยาดน้ำ ตามใบ................ค่อยไหล ค่อยรด หยดผล็อย(ผล็อย=โดยพลัน)
ดั่จทิพย์ สุธา.....................บรรจง ลงมา ประดอย(สุธา=น้ำอมฤต,ประดอย=ทำให้งดงาม-ละเอียดยิ่งขึ้น)
หญ้า-ไม้ ใหญ่น้อย.............เพริศพร้อย พรรณ อัญมณี

    ดูแล ดวงใจ..................งดงาม อำไพ ใสสะอาด
โลภะ ละขาด.....................โทสะ ขยาด ปราดลี้
โมหะ ละหลง.....................ประสงค์ ประพัทธ์ ทัศนีย์(ประพัทธ์=ผูกพัน,ทัศนีย์=งาม)
คุณงาม ความดี..................คงมี อยู่คู่ จินดา

    ใสดั่ง วัยเด็ก..................ดวงใจ ดวงเล็ก บริสุทธิ์
ชั่วช้า ละผุด.......................อวิรุทธ์ สวรรค์ ชั้นฟ้า(อวิรุทธ์=มีอิสระ)
ซื่อตรง ทรงพลัง.................พ่วงความหวัง พรั่งศรัทธา
สุขี ชีวา.............................คืออนา คต บทจร

     จิตใส ใจสวย.................ได้ด้วย ละท้น มลทิน
จินดา ราคิน........................ขจัดสิ้น ภิญโญสร(ภิญโญ=ยิ่งขึ้นไป,สร=แกล้วกล้า)
กายอยู่ บนดิน.....................วิญญาณ อยู่บน ฟ้าอมร
ธรรมา สาทร.......................สันติ์สุข สโมสร พรชัย ฯ


๒๔ กันยายน ๒๕๕๖

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

ไม่เอาถ่าน : โคลงสี่สุภาพ



ไม่เอาถ่าน : โคลงสี่สุภาพ

. นกเขาขันคูเคล้า................เคลียลม
อร่ามอรุณระดม.....................ร่มรื้น
อายอากาศเย็นดม.................อุ่นจิต
ประคิ่นวินชาชื้น.....................แช่มเช้าเสาวคุณ ฯ(ประคิ่นวินชา=ประณีตบรรจง)

. ผกากรองกลิ่นเกื้อ.............กฤติยา(กฤติยา=เสน่ห์)
ชวนลุ่มหลงพงพนา.................รื่นเรื้อ
เสียงเสนาะแว่วธารา................รินหลั่ง
ดุจดั่งกังสดาลเคื้อ..................ขับคล้องคงสะคราญ ฯ

. ลมพัดพาใบไม้....................ไกวไหว
เริงร่าชีวาใน...........................ป่ากว้าง
มิประหวั่นพรั่นพรึงภัย...............ยืนหยัด
พายุซู่ศัตรูล้าง........................ไป่น้อมจำนน ฯ

. บรรพบุรุษมนุษย์ล้วน.............อาศัย
ณ ป่าดงพงไพร.......................ก่อนกล้า
ตัดถางโล่งเตียนไป..................เพาะปลูก
ลูกหลานรุ่นหลังล้า...................บ่สู้ลำเค็ญ ฯ

. กลายเป็นคนเกียจคร้าน..........เหลวไหล
รักแค่ความศิวิไลส์....................ฟุ้งเฟ้อ
สะดวกใฝ่แสวงใน.....................ทุกสิ่ง
นานยิ่งหย่อนยานเพ้อ................นั่งเกื้อนอนกิน ฯ

. ความไม่เอาถ่านคลุ้ง...............คละขจาย
คนรุ่นหลังซังกะตาย...................กิจต้าน
คิดก็แต่อยากสบาย....................ไปหมด
ใจคดมดเท็จกร้าน......................แก่กล้า มนาฉล ฯ

. มิใยดีก่อ-สร้าง........................มุ่งผลาญ
มิเอาการเอางาน.........................เล่นเร้า
มิยอมข่มพลาการ........................กิเลส(พลาการ=พละ+อาการ)
มิเฉทฉลระคนเคล้า.....................เกลือกกล้ำสำเริง ฯ


๒๓ กันยายน ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

ต่อต้าน การสร้างเขื่อนแม่วงก์ : กลอนกำลังใจ



ต่อต้าน การสร้างเขื่อนแม่วงก์ : กลอนกำลังใจ

    จากป่า " แม่วงก์ " ตรงสู่กรุงฯ.................เธอมุ่ง เธอมั่น มิหวั่นไหว
สองเท้า ก้าวเดิน แสนเกินไกล.....................กลับใกล้ หากใจ ให้ทระนง

    ฝ่าแดด ฝ่าฝน จนเหนื่อยเหน็บ................ทนเจ็บ ทำไม คนสัยสง ?
สิ่งไร ละหรือ คือ " แม่วงก์ " ?....................จำนง จงมั่น ประการใด ?

    กระสือ การเมือง หาเรื่อง(โกง)กิน............แผ่นดิน ผืนป่า มิปราศรัย
พูดด้วย เหตุผล จนอ่อนใจ..........................เตือนใจ ไทยเฉย เลยจำเป็น

    อารยะ ขัดขืน ขอฝืนสู้............................แม้รู้ มันยาก ลำบากเข็ญ
เหงื่อสาด เลือดไส ไหลกระเซ็น...................เพื่อเป็น พลัง พรั่งวิญญาณ

    " แม่วงก์ " รักษ์ไว้ ให้สัตว์-ป่า.................สัตว์-ป่า รักษ์ไว้ ให้ลูกหลาน
รักษา ธรรมชาติ นานเท่านาน.......................รักษ์เงิน งบประมาณ ต้านโกงกิน

    สามร้อย แปดสิบแปด กิโลเมตร(388กม.)...เดินท้า ปฏิเสธ ทวยกังฉิน
พร้อมพลี เพื่อชาติ สัตว์-ป่า-ดิน.....................น้ำไหล ใสริน สืบดินไทย ฯ


๒๑ กันยายน ๒๕๕๖

รักที่เห็นแก่ตัว : กลอนเจ็ด



รักที่เห็นแก่ตัว : กลอนเจ็ด

    ความรัก ความเค้น เห็นแก่ตัว.........แพร่หลาย ไปทั่ว ทุกทิศา
สะท้อน สามานย์ สัญชาตญาณ์...........ที่ไม่ พัฒนา ดวงกมล

    ยิ่งกว่า กิเลส เจตน์ตัณหา..............เป็นความ หยาบช้า โฉดฉ้อฉล(เจตน์=เจตนา)
มุ่งตอบ สนอง สุขของตน...................เพื่อผล ประโยชน์ โปรดส่วนตัว

    รักจับ รับจอง เป็น " ของข้าฯ ".......ใครกล้า ก้าวก่าย มาดหมายหัว
ต้องรัก แต่ข้าฯ อย่าพันพัว..................ผู้อื่น ขืนมั่ว ชั่วเจอดี

    เป็นรัก ชั่วครู่ อยู่ชั่วคราว................ไม่ยั่ง ยืนยาว เพราเพริศศรี
รอแต่ เสื่อมถอย ลดน้อยมี..................ไร้วัน รื่นทวี ทุกทิวา

    ต่อให้ นบนอบ มอบชีวิต................อย่าคิด คาดหมาย ได้(รัก)ของข้าฯ
มีเพียง รักลวง พ่วงมารยา..................ออกจาก วาจา ประดิดประดอย

    เอารัด เอาเปรียบ ปนเหยียบย่ำ.......เกินกล้ำ ทำร้าย ไม่ลดถอย
สัมพันธ์ สรรค์สร้าง อย่างเลื่อนลอย......แลคอย โอกาส อาจนอกใจ

    คนรัก ที่ไร้ มโนธรรม.....................ทรามต่ำ เกินกว่า พรรณนาได้
ถ้ามี คนรัก เพื่อหนักใจ......................มิใย อย่ามี ดีกว่ากัน

    ความรัก ที่ขาด คุณธรรม................ต่ำทราม นำพา ถึงอาสัญ
มีได้ ก็ไม่ ไว้ใจกัน............................ไร้ซึ่ง สุขสันติ์ ซ่านทุกข์ตรม ฯ


๒๑ กันยายน ๒๕๕๖

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

พึงเก็บออม ให้พร้อมสรรพ : กลอนคติเตือนใจ



พึงเก็บออม ให้พร้อมสรรพ : กลอนคติเตือนใจ

    ฝนพรั่งพรู เพราะพายุ ฉุปะพัด..........ลมสาดซัด เสียงชัดซ่า กระแสฝน(ฉุป=ลม)
เมฆหม่นเคล้า เทาคลุมฟ้า ครองนภดล....สุริยน ยลสูญหาย ไร้สัญญี

    น้ำนองท่วม น่วมทุ่งทั้ง หลั่งล้นท่อ....แมลงสรรพก็ กลัวตาย ตะกายหนี
ตะเข็บตะขาบ หนูน้อยใหญ่ ไต่ทวี..........ยั้วเยี้ยยี้ โยกย้าย กระจายจล

    พายุดล ฝนดาล ขนานหนัก..............น้ำทะลัก เท้ออ่วม ท่วมท้องถนน
รถวิ่งฝ่า ธาราแหวก น้ำแตกจน..............กระเด็นโดน คนเดินบาท อนาถนอง

    แม่ค้าไม่ มาเปิดร้าน เช้าวันนี้............ลมพัดที ฝนปรี่เท่า เปียกข้าวของ
แม้มุ่งมาด ปรารถนา หาเงินทอง............เลี้ยงปากท้อง ของคน ท้นครอบครัว

    ประกอบกับ ลูกค้า มาเซาซบ....พายุตลบ คนหลบฝน อนธการทั่ว(อนธการ=มืดมน)
เป็นวันหยุด โดยปริยาย สบายตัว...........ท่ามกลางทิวา ฟ้าสลัว ทั่วธานี

    หากมิยอม ออมเงินไว้ ในก่อนหน้า.....คิดหรือว่า จะสบาย ได้เช่นนี้ ?
มิอดออม ถนอมใช้ เงินไม่มี..................อุปสรรคปรี่ เอาที่ไหน มาจ่ายปัน ?

    หากมินำ ทำงานหนัก รักก่อนหน้า......คิดหรือว่า จะไม่ทุกข์ มีสุขสันติ์ ?
ขาดรายได้ แต่ไม่เข็ญ เช่นปัจจุบัน.........เพราะขยัน แต่กาลก่อน ย้อนคิดเทอญ ฯ


๒๐ กันยายน ๒๕๕๖

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

รอยสัก : กาพย์ฉบัง๑๖



รอยสัก : กาพย์ฉบัง๑๖

    รอยสักสีคล้ำดำด่าง.............บนผิวบอบบาง
ลางคนวิกลยลสวย

    ผิวงามธรรมชาติอำนวย............ต้องแปดเปื้อนด้วย
สีฝังซังกระบวยบ้าบอ

    สักนิดสักน้อยค่อยก่อ.............มีแล้วไม่พอ
ใคร่ขอสักเพิ่มเติมเต็ม

    เพิ่งทำนำอกอิ่มเอม..............เริงร่าสุขเขษม
ปรีดิ์เปรมสราญงานศิลป์

    นานวันพลันพาชาชิน.............รกตากายิน-
ทรีย์เหมือนมลทินสิ้นงาม(กายินทรีย์=กาย)

    รอยสักถาวรย้อนทราม.............สาธุชนเหยียดหยาม
สร้างความคับแค้นแน่นกมล

    รอยสักรักไสยศาสตร์ชน.............อัดแน่นอกุศล
ทุรพลเพราะโง่งมงาย(ทุรพล=อ่อนแอ)

    อย่าสักเลยนะสหาย..............สะอางร่างกาย
ธรรมชาติให้ไว้เพียงพอ

    ผิวพรรณสะอ้านลออ............รักษาเถิดหนอ
เหมาะแต่งแปลงโฉมนิยมเอย ฯ

๑๙ กันยายน ๒๕๕๖

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

ทำดี ไม่มีผล ? : กลอนหก



ทำดี ไม่มีผล ? : กลอนหก

    จะว่าไป ทำไมคน............มิสนใจ ในความดี ?
เพราะเป็นธรรม ดาวิถี............ทำดีเหมือน เลือนรางผล !

    ด้วยประสาท สัมผัส ๕ .....วิทยา ศาสตร์ประจญ
กฎแห่งกรรม แค่คำค้น..........หาดาลดล ผลอันใด

    การทำดี ฝืนกิเลส............ขัดฤทธิ์เดช เจตนิสัย 
ทวนกระแส แดกลไก............ที่อยู่ใต้ สัญชาตญาณ

    คนย่อมอยาก มีอยากได้....จะมาให้ " อยาก " ประหาร
ทุรนทุราย ทรมาน................ผิดพื้นฐาน สันดานกมล

    ยิ่งคนโกง ยังองอาจ.........เหล่าทรราช อำนาจล้น
คนดีมาก มายยากจน............ทำดี..ผล-->โดนทำลาย

    คนมีเงิน ก่ออาชญา..........เงินยัดห่า อาญาหาย
คนทุจริต ทำผิดดาย..............ใต้โต๊ะจ่าย สบายมี

    จึงเวียนวน บนคำถาม........ความดีงาม นำสุขี ?
ทำดีไซร้ ย่อมได้ดี ?..............สามารถมี พิสูจน์มา !

    (คำตอบ)เป็นปัจเจก เอกวิสัย...........ในคนดี มีวาสนา
จะรู้เห็น เป็นสัจจา..................ว่า " ทำดี ได้ดี " เอย ฯ  


๑๘ กันยายน ๒๕๕๖

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

การปรับตัว : กลอนคติสอนใจ



การปรับตัว : กลอนคติสอนใจ

    เมื่อไพร่พล มนมืด ยึดครองหล้า.........สนธยา ลาห้วง ล่วงเวหน(สนธยา=เวลาพลบค่ำ)
ประจวบกับ เมฆา มาประจญ...................นำสายฝน สนเสียง สำเนียงนวล

    พิรุณร่าย พรายร่ำ ตามจังหวะ.............พ้องพายุ ฉุปะ พละผวน(ฉุป=ลม)
น้ำท่วงขัง อ่างอึ่ง มิพึงครวญ..................ตะขาบชวน แมงป่องเข้า เนาเรือนคน

    อสรพิษ คิดย้าย พ้นภัยเภท................ทุกข์เทวษ ระเห็จหา สุขาหน
นับประสา อะไร วิสัยคน..........................ย่อมดิ้นรน ย้ายถิ่น กิน-อยู่เย็น

    " การปรับตัว " เป็นสิ่ง มักอิงอ้าง.........มิเว้นว่าง สั่งสอน สะท้อนเห็น
สิ่งแวดล้อม น้อมรับ ปรับอยู่-เป็น.............บรรเทาเข็ญ เร้นคร่ำ ตามครรลอง(คร่ำ=ร้องไห้)

    เช่นปรับตัว ตามภู มิอากาศ................ธรรมชาติ วัฒนธรรม การย์กรรมผอง
ญาติสนิท มิตรสหาย ไมตรีตรอง..............เพื่อสอดคล้อง พร่องขาม พรากลำเค็ญ

    แต่มิใช่ ใจปรับ คล้อยกับคน...............ทรามกมล ฉลชั่ว แก่ตัวเห็น
มิใช่ต้อง ลองตาม ระยำเป็น....................ต่ำทรามเช่น โฉดชน วิมนชาญ(วิมน=จิตใจวิปริต)

    ผิว่าแม้น แดนดิน ถิ่นอาศัย.................มีเภทภัย ร้ายห้ำ ระยำหาญ
อย่าทนอยู่ ต่อไป ให้รำคาญ...................ณ ถิ่นสถาน สร้างโทษ วิโรจน์ทอน

    พึงโยกย้าย ไพจิตร พินิจเวศม์......พ้นอาเพศ เจตนา จินดาสร(ไพจิตร=แตกต่าง,เวศม์=ที่อยู่)
เป็น " การปรับ ตัว " แท้ ที่แน่นอน............เพื่อบวร พรพิสิทธิ์ ชีวิตเอย ฯ


๑๗ กันยายน ๒๕๕๖

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

บทกลอน แนะนำ น้องจำเลยรัก

           

                                 

บทกลอน แนะนำ น้องจำเลยรัก

เด็กน้อย.....
คุณแม่ยังไม่ตายไปจากหนู....
และหนูก็ยังมีชีวิตอยู่
แค่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
เพราะความสัมพันธ์ของพ่อ-แม่ สิ้้นสุดลง

ตราบเท่าที่ยังมีชีวิต
ยังคงมีสิทธิ์มีโอกาสที่จะได้พบกัน
อยู่ด้วยกัน....
อย่าวิตกกังวลไปเลย....

คนเราเกิดมา....
เลือกอะไรให้เป็นได้ดั่งใจบางอย่าง
และ
ไม่มีทางเลือกเลย มากมายหลายอย่าง....
ไม่มีใคร ได้อะไรดั่งหวัง
ไปเสียทั้งหมด

แต่ก็ใช่ว่า....
จะทำให้ชีวิต ลดความหมาย
ไร้ความสำคัญลงไป....

สิ่งที่ขาดหาย
หากรู้จักใช้ ให้เกิดประโยชน์....
ก็กลับจะกลายเป็นแรงบันดาลใจ
ให้เราได้สร้างสรรค์ สิ่งดีงามมากมาย...
เพื่อมาทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปนั้น

เพื่อตัวเรา...
เพื่อคนอื่นๆ....
เพื่อสังคม...
และ เพื่อโลกใบนี้....

ขอให้มีความหวัง
แม้ว่า จะยังไม่สมหวัง
ก็ตามที....

ตราบใดที่ยังไม่หมดลมหายใจ
ตราบนั้น....
ชีวิตยังมีโอกาส
พานพบกับประสบการณ์ที่ดี...
อนาคตที่งามเสมอ....

ขอเพียงแค่เรา...
อย่าหลงทาง....
อย่าออกนอกลู่นอกทาง....
อย่าท้อถอย....

จงตั้งใจ
มุ่งไปสู่เป้าหมาย....
ด้วยจิตใจที่ดี ที่งาม.....
ความคิดที่่ สวยงาม....
และการกระทำที่ สะอาดงาม....

อย่ามัวแต่เก็บ สิ่งที่ไม่สมหวัง...
มาวางเด่น เป็นปมด้อย
มีแต่จะคอยบั่่นทอนกำลังใจ...
ทำลายจินตนาการ...
และ บดบัง สติปัญญา ของเรา...

จงมองไปข้างหน้า...
แสวงหาอนาคต อันสดใส...

แสงสว่างรำไร...
รอเราอยู่....

๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔
(ขออภัย ระบบคงจะเพี้้ยน ผมเข้าไปเปลี่ยนรูปในโพสต์เก่า
แต่พอกด อัปเดต กลับกลายมาเป็นโพสต์ใหม่เสียนี่... งง มาก)

มั่นคงในความดี : กลอนจรรโลงใจ



มั่นคงในความดี : กลอนจรรโลงใจ
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

    ล่วงชัด รัชนี.............สุรีย์ ลาลับ ดับหาย
นางฟ้า โปรยปราย............ดารา ประกาย พรายพราว
ณ พื้น นภดล...................ถกล ท้นท่วง ห้วงหาว
ระยับ วับวาว....................ดูราว กับมี ชีวัน

    ครั้นเมื่อ ศศิธร..............บทจร จรัส ภัสสรา(ภัสสร=แสงสว่าง)
ดั่งเทพ ธิดา.....................เที่ยวมา ดูแล สวรรค์
ประสาธน์ ประสิทธิ์............พิจิตร ตราบนิจ นิรันดร์
เพื่อทวย เทวัณ.................เปี่ยมสุข เขษมสันติ์ ครรลอง

    ความดี ดุจราว..............ดวงดาว พราวพร่าง ขจ่างฟ้า
ประดับ โลกา....................แม้ครา มืดมิด หม่นหมอง
หมดจด งดงาม.................อร่าม ล้ำค่า กว่าทอง
ประเทือง เรืองรอง.............ประคอง ป้องปก ปัถพิน

    คนดี ประดุจ.................เทพี พิสุทธิ์ ชุติมา(ชุติมา=ผู้มีความรุ่งเรือง)
สุทรรศน์ ภัทรา.................มนา ประณีต นิจสิน
สรรค์สร้าง ความดี.............ให้กี รติก้อง ธรณิน
กุศล จลจินต์....................จริยะ ประคิ่น วินชา(ประคิ่นวินชา=ประณีตบรรจง)

    ไม่ปล่อย กมล..............ระคน มลทิน ชินโลกย์
กรากเชี่ยว เกรี้ยวโชก........ไตรโตรก โกรกลึก ฮึกหา
สำคัญ มั่นคง...................ซื่อตรง ยงหยัด ศรัทธา
ความดี วิภา.....................ตราบชั่ว ชีวา มลาย ฯ

๑๖ กันยายน ๒๕๕๖

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

ใจลอย : โคลงสี่สุภาพ



ใจลอย : โคลงสี่สุภาพ

. คราวทินกาลผ่านพ้น........เพลา
โลกล่วงลุรัตติกาล์..............โอบอุ้ม
ประคองท่องผืนนภา............ดาราจักร
โดยรักษ์พิทักษ์คุ้ม..............ตลอดห้วงเวหน ฯ

. ชุติดาริกาแต้ม................แต่งหาว(ชุติ=ความสว่างไสว,ดาริกา=ดวงดาว)
ระยิบระยับวับวาว................วาบแพร้ว
เกินแสงแห่งเพชรพราว........เม็ดเอก
เหนือร่างดรุณีแผ้ว..............ผ่องล้วนนวลฉวี ฯ

. ผิวสาคเรศสะท้อน...........ดาวแสง(สาคเรศ=ทะเล)
ระลอกคลื่นระบำแคลง.........เล่นริ้ว
ปานประหนึ่งจำแลง............เปลี่ยนสมุทร
ดุจนาฏยศาลาพลิ้ว.............เพริศพร้ำอำไพ ฯ(นาฏย-=เกี่ยวกับการแสดงระบำ-ละคร)

. ลมทะเลเห่ให้................โหยหา
ปองช่วยโปรดพัดพา...........ข้าฯพ้น
จำกัดแห่งกายา.................ภรจิต(ภร=ค้ำจุน)
ชมท่องดาริกาท้น...............ทั่วฟ้าสุราลัย ฯ(สุราลัย=สวรรค์)

. จะยอมพลีชีพนี้..............กำนัล
ขออยู่เคียงชุติขันธ์.............คู่ฟ้า(ขันธ์=หมู่)
จรัสแสงส่องประชัน............จันทร์แจ่ม
คู่กัปนับกัลป์ท้า.................ถกลหล้าธาตรี ฯ(ถกล=งาม,ธาตรี=แผ่นดิน)

. ใจลอยจนดาวคล้อย........เดือนไคล
หรีดหริ่งแลเรไร.................ร่ำร้อง
นิศาชลหลั่งดลไพร.............แช่มชื่น(นิศาชล=น้ำค้าง)
คืนสู่สัจจาพ้อง...................จำต้องนิทรา ฯ

๑๕ กันยายน ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

นอกใจ : กลอนคติเตือนใจ



นอกใจ : กลอนคติเตือนใจ

    เมื่อแรกรัก สมัครร่ำ ร่ายคำมั่น...........ว่าเราจัก รักกัน ไร้วันสลาย
หากแม้ชี วีตน ชนม์จะมลาย.................แต่ว่ารัก จักไม่ตาย หมายนิรันดร์

    ขอเคียงคอย ดูแล และรักษา............ตราบชั่วฟ้า ธรณิน ภินทผัน(ภินท์=พังทลาย)
จะไม่เปลี่ยน ปรวนแปร แลแบ่งปัน.........รักคงมั่น แค่สองเรา เท่านั้นมี

    คำสำรอก บอกรัก ยากอะไร..............ที่สำคัญ คือดวงใจ ไม่หน่ายหนี
ยามแรกรัก มักวิมล เป็นคนดี.................เนิ่นนานกลับ กลายอัปรีย์ ทุกวี่วัน

    เริ่มสับปลับ กลับกลอก รินอกใจ.........แสวงหา รักใหม่ จัญไรมั่น
คนรักเก่า เฉาชั่ว ช่างหัวมัน...................คนรักใหม่ แข็งขัน หมั่นดูแล

    ก่อนจะคิด รักใคร จงใคร่ครวญ...........อย่ารีบด่วน เร่งรัก จักพ่ายแพ้
จริยธรรม คำเตือน อย่าเชือนแช..............คนเก่าแก่ คนเฒ่า เขาผ่านเคย

    คนรักง่าย ใจล้วน จอมรวนเร..............คอยหันเห หารักใหม่ ไม่อยู่เฉย
สรรพคำมั่น สัญญา มักละเลย.................ในเมื่อคน กมลเคย เลยคล้อยใจ

    ก่อนจะคิด รักใคร ให้รู้ยิ่ง...................ความรักจริง-รักเล่น เป็นไฉน ?
ความรักลวง-รักแท้ แลอย่างไร ?.............รู้ความรัก-ความใคร่ ไม่เหมือนกัน

    เพราะมีคน ไร้ความรู้ สู่ริรัก.................ทั่วทั้งโลก จึงอกหัก กันหลากลั่น
เพราะมีคน เบื่อง่าย ไร้ศีลธรรม์................จึงนอกใจ กันและกัน จัญไรเอย ฯ


๑๔ กันยายน ๒๕๕๖