ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

งดงามทุกยามยล : กลอนจรรโลงใจ



งดงามทุกยามยล : กลอนจรรโลงใจ

    จิ้งหรีด กรีดร้อง กองพนา..............หลังฝน สนธยา ลาลับหาย
อากาศ เย็นชื้น รื้นสบาย....................กลิ่นอาย หอมหวน รัญจวนจินต์

    ธรรมชาติ นาฏยา ความสงบ..........พิภพ สบสันติ์ โทษทัณฑ์สิ้น
เปรมปราศ อาชญา ไร้ราคิน...............เป็นปิ่น ประดับ ประทับใจ

    ความมืด=มนตรา แห่งราตรี...........ฤดี นิมิต พิสมัย
ความคิด คะนอง ล่องลอยไคล...........เที่ยวไป ไกลล่วง ห้วงภวังค์

    จิต(ที่)ไร้ ราคี=บริสุทธิ์.................เรืองรอง ผ่องผุด ประดุจสังข์
ปัญญา เพิ่มพี มีพลัง........................สติ สิตั้ง อย่างมั่นคง

    ธรรมะ พาให้ ได้หวนคิด...............วิถี ชีวิต ชวนพิศวง
ใช่สัก แต่ว่า จะดำรง........................จำนง ตาม(ความ)อยาก ใจชักพา

    ไม่ดู ความพร้อม น้อมประสิทธิ์.......ไม่คิด มุ่งมาด (ความ)สามารถหา
ไม่หนุน คุณธรรม์ คลองจรรยา............ไม่ตัด อัตตา ตัณหาไตร

    ถ้านำ ลำบาก อย่าอยากมี..............ถ้ามี แล้ว(ยุ่ง)ยาก อย่าอยากได้
สัญชาต (ตะ)ญาณ บงการใจ..............อย่าไป ติดสอย ใคร่คล้อยตาม

    ดวงดาว วาววับ ขับแสงสี...............นภา ราตรี สิริหลาม
ศีลธรรม์ จรรยา ขจัดทราม..................ขับให้ ใครงาม ทุกยามเอย ฯ

๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า : กลอนรัก



คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า : กลอนรัก

    ชีวี ที่ผ่านมา...........................ปล่อยเวลา ไปกับอิสรภาพ
ดื่มด่ำ ความปลื้มปลาบ..................อาบกลิ่นไอ ใสเสรี

    ความสะดวก ความสบาย...........แสนมากมาย ในโลก(คนโสด)นี้
ก่อกรรม ตามฤดี..........................เท่าที่จง ประสงค์จินต์

    ไม่คิด จะมีคู่...........................เพราะพาสู่ เสรีสิ้น
เป็นอุปสรรค หนักชีวิน..................หลากมลทิน และภาระ

    ไม่เห็น ความคุ้มค่า..................ที่ต้องมา เสียอิสระ
หวาดหวั่น ต่อพันธะ.....................โทษทัศนะ (ใน)ชีวะชน

    แต่เมื่อ มาพบเธอ....................ครั้นพบเจอ ความงาม(กาย-ใจ)ล้น
พบว่า ชีวา(ของ)ตน.....................ยังขาดคน คู่เคียงครอง

     (เกิด)มุมมอง ครรลองใหม่........ดึงดูดใจ ใคร่สนอง
ฝักจิต คิดใฝ่ปอง.........................อยากลองเดิน ไปด้วยกัน

    เส้นทาง ชีวิตคู่........................ชวนชื่นชู ดูหฤหรรษ์
อบอุ่น ละมุนอัน...........................หาไม่ได้ (ภาย)ใต้เสรี

    คนนอก อยากจะเข้า.................คนในเล่า อยากหลีกลี้
เป็นมา ชั่วนาตาปี.........................ไม่มีวัน แปรผันเอย ฯ

๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

คิดถึงเธอเสมอ : กลอนรัก(กลอนหก)



คิดถึงเธอเสมอ : กลอนรัก(กลอนหก)

    คิดถึงเธอ เสมอมา...................ไม่เลือกว่า เวลาไหน
แม้แต่ฝัน กัญญาใย......................มิจากไกล ไปจากจร

    คิดถึงหน้า โสภานัก..................มิต่างพักตร์ ลักษณ์อัปสร
เทพธิดา จากฟ้าอมร.....................มาซุกซ่อน ร่อนโลกา

    คิดถึงร่าง สำอางเลิศ.................ชวนให้เกิด สิเน่หา
ไม่มีใคร ในสายตา........................งดงามกว่า อรอนงค์

    คิดถึงจิต แลนิสัย......................เพริศพิไล ใจสูงส่ง
ศีลธรรม จรรย์ดำรง........................อย่างมั่นคง ยงนิรันดร์

    คิดถึงบุญ คุณกุศล.....................ที่นิรมล อดทนสรรค์
บางครั้งยาก ยังบากบั่น...................พัฒนาการ มิพรั่นพรึง

    คิดถึงใจ ใสสงบ........................ธรรมปรารภ ทบลึกซึ้ง
สติปัญญา ทรงตราตรึง....................รำพึงพิศ อยู่นิตยา

    คิดถึงหลัก ที่หนักแน่น................ละโลดแล่น กิเลสตัณหา
ไม่ทำบาป หยาบชั่วช้า....................มั่นศรัทธา สาธุธรรม

    คิดถึงนุช ผู้สุจริต.......................ซื่อสัตย์จิต ชีวิตล้ำ
ประเสริฐล้น จนจดจำ......................ทุกเช้าค่ำ พร่ำพลอดเอย ฯ

๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ท่องราตรี : กลอนคติเตือนใจ



ท่องราตรี : กลอนคติเตือนใจ

    นอนฟัง เสียงฝน ค่อยหล่นริน..............ไม่สิ้น ไม่สุด สะดุดสรรค์
ดั่งเสียง ดนตรี คีตอัน.............................พิเราะ เสนาะนันท์ หรรษ์หทัย

    สุทธา พาที รัตติกาล..........................ช่างปาน เสียงปรับ สู่หลับใหล
ความเงียบ เปรียบเป็น เช่นบันได..............นำใจ วิจิตร จงนิทรา

    กลางวัน ขันกล้า ทำหน้าที่..................ไม่เลี่ยง ไม่ลี้ หลบหนีหน้า
กลางคืน ก็พึง ถึงเวลา............................หลับตา พักผ่อน นอนนิ่งกัน

    ไม่ใช่ เวลา หาความสนุก....................เร้ารุก อารมณ์ ฮึกโหมหรรษ์
ไม่ใช่ เวลา ตะบี้ตะบัน............................สังสรรค์ บันเทิง เริงราตรี

    ประโยชน์ อันใด ในความสุข................หลงบ้า อบายมุข ผูกวิถี
ประโยชน์ อันใด ในชีวี...........................ไม่มุ่ง หมายดี มีศีลธรรม

    กลางคืน เมื่อเฝ้า เอาแต่เที่ยว..............กลางวัน แรงเรี่ยว แห้งเหี่ยวห้ำ
งานการ มิเห็น เป็นอันทำ........................อนาคต หมดค้ำ ดำมืดมน

    สุรา ยาเมา เคล้าราคี..........................บัดสี บัดซบ สมคบฉล
วิถี วิตถาร สามานยชน............................กมล ใฝ่ต่ำ ไร้สำรวม

    มิควร คบใคร่ หมายเป็นมิตร................มิควร คบคิด ชีวิตร่วม
คนพาล คือภัย ไม่กำกวม........................มักสวม หน้ากาก ตระหนักเทอญ ฯ


๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว : กาพย์ฉบัง๑๖



ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว : กาพย์ฉบัง๑๖

    หลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้................ทำมาทำไป
สุดท้ายกายเปียกอยู่ดี

    แต่ก็ไม่เท่าเราที่................กำบังไม่มี
ทอดกายีใต้สายฝน

    อุปมาชะตาประจญ..............วิบากหลากล้น
ตามผลเก่ากรรมอำนวย

    กรรม(ดี)ใหม่แม้มิอาจช่วย...............ล้างเก่ากรรม(ชั่ว)ด้วย
แต่ยังพออวยบรรเทา

    ความดีที่ทำนำเรา................ผ่อนสบายคลายเศร้า
ไม่ทุกข์เท่าเราทำชั่ว(ซ้ำเติม)

    ทุกข์ / สุขีอยู่ที่ตัว...............ก่อกรรม์พันพัว
อย่ามัวเมาเอาแต่ใจ

    สันดานมารยาสาไถย................ทุจริตคิดใคร่
(เท่ากบ)สร้างเภทภัยร้ายสู่ตน

    ภายหน้าจะต้องประจญ...............ทุกข์ย้อนคืนยล
เหมือนฝนตกตรำระกำไตร

    (จง)บังคับควบคุมกุมใจ................(ของ)ตนไว้ให้ได้
ก่อกรรมอำไพพิไลศรี

    ผู้ที่กระทำความดี................จะต้องได้ดี
ไม่วันนี้(ก็)วันหน้าเอย ฯ


๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

รู้เขารู้เรา : กาพย์สุรางคนางค์๓๒



รู้เขารู้เรา : กาพย์สุรางคนางค์๓๒

    รู้เขา รู้เรา....................อย่าเอา แต่คิด
คล้อยตาม ดวงจิต.............กิเลส ตัณหา
ตั้งส มาธิ.........................สติ ปัญญา
ส่องดู มนา.......................ของเรา เขามี

    นิสัย ใจคอ...................จดจ่อ จริต
พฤติกรรม ความคิด............พิสิฐ / บัดสี ?(พิสิฐ=ประเสริฐ)
ปองชั่ว ประจักษ์...............หรือมัก รักดี ?
ครรลอง ฤดี.....................ไร้ / มี ศีลธรรม ?

    ภาระ หน้าที่.................ทำดี แค่ไหน ?
หยาบช้า สาไถย...............(หรือ)พิไล เลิศล้ำ ?
อาชีพ เกื้อหนุน.................(หรือปล่อย)ตามบุญ ตามกรรม ?
เที่ยวชื่น คืนช่ำ.................(หรือ)หัวค่ำ เข้านอน

    เหล้ายา การพนัน..........บันเทิง ทัศนะ
วิถี ชีวะ...........................กักขฬะ / อดิศร ?
ขยัน สรรสร้าง..................สรรพางค์ บวร
(หรือ)ชาชิน กิน-นอน........ซุกซ่อน โรคภัย ?

    ซื่อสัตย์ สุจริต..............(หรือ)คดคิด พิษฐาน ?
พูดยาก ดักดาน................(หรือ)ปัญญา ปราศรัย ?
ตระหนี่ ตะกลาม...............(หรือ)งดงาม น้ำใจ ? ฯลฯ
ล้วนเป็น เงื่อนไข..............(ใช้)คบค้า สมาคม

    ข้อดี ของเรา................คอยเฝ้า เสริมส่ง
ข้อเสีย เกลี่ยลง................อย่าหลง ใหลสม
ข้อดี ของเขา...................เอามา ประนม
ข้อเสีย อย่ารมย์................นิยม ยลเลย ฯ


๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ศีลธรรมไม่ใช่ข้อบังคับ : โคลงสี่สุภาพ



ศีลธรรมไม่ใช่ข้อบังคับ : โคลงสี่สุภาพ

. ความเป็นไป(ใน)โลกไร้................กฎเกณฑ์
คือสิ่งที่(คน)แลเห็น........................ต่อหน้า
กำหนดจดจำเป็น............................สัจจะ
ชีวะประพฤติกล้า............................ก่อเกื้อกรรมสาน ฯ

. สัญชาตญาณจิตใต้.....................สำนึก
ดึง-ดันดวงมานคึก..........................มุ่งค้ำ
ความอยากมากมายลึก....................หลงล่วง
ผูกพ่วง"ตัวกู"ล้ำ............................แลห้ำกระหาย ฯ

. เวรกรรมจึงหลากล้น....................โลกา
ตามแต่กิเลสตัณหา........................กระตุ้น
มิแคลนขาดอาชญา........................เบียนเบียด
เดียดสัตว์เดรัจฉาน;คุ้น....................สิคล้ายนราหรือ ?

. ศีลธรรมคือความรู้.......................สั่งสม
หลักดำเนินชีพชม..........................ร่มรื้น
ปราชญ์เมธีวิกรม............................สังเกต(วิกรม=เก่งกล้า)
เหตุ-ผลกลกรรมครื้น.......................บัญญัติไว้เป็นเกณฑ์ ฯ(ครื้น=มากด้วยกัน)

. ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดีชี้........................เจนชัด
กุศลาจริยวัตร...............................แซ่ซ้อง
ความดีสิริพิพัฒน์...........................สุขสรรพ
ความชั่วบาปตราบต้อง....................ทุกข์ร้อนรนเข็ญ ฯ

. ศีลธรรมมิใช่ข้อ..........................บังคับ
ตามแต่ใครจะรับ............................เลิศไว้
คุณค่ายิ่งกว่าทรัพย์........................ในโลก
ว่างโศกวิโยคไร้.............................เศิกสิ้นชีวินสม ฯ


๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สิ่งจำเป็นสำหรับการมีชีวิต : กลอนหก



สิ่งจำเป็นสำหรับการมีชีวิต : กลอนหก

    มีชีวิต อย่าคิดน้อย..................ต้องเฝ้าคอย ใคร่ศึกษา
พัฒนะ สติปัญญา.......................รู้โลกา สัจจาการ

    ควรเข้าใจ ในธรรมชาติ............ของชีวาตม์ ให้แตกฉาน
ควรรู้ทัน สัญชาตญาณ................ความต้องการ สามานย์มี

    เท่าทันใจ ที่ใฝ่ต่ำ..................เยี่ยงสัตว์ส่ำ ทรามวิถี
ควบคุมได้ ในฤดี........................ที่มักปรี่ โลกียกาม

    ความโหดร้าย ครองใจอยู่........คอยส่องดู สู้หักห้าม
อย่าปล่อยไว้ ให้ลุกลาม..............ทุกข์ยากยาม จักตามมา

    ความอยากได้ ไม่สิ้นสุด..........ถ้าไม่หยุด ผุดตัณหา
สร้างเภทภัย ร้ายนานา................นำชีวา ทุกข์ระทม

    อยากในสิ่ง ที่ควรมี................มุ่งสิ่งที่ สิเหมาะสม
อย่าใฝ่หา ตามอารมณ์................ค่านิยม สังคมมอม(เมา)

    โลกเรามี ดีและชั่ว..................รู้จักกลัว(ความชั่ว) รู้จักถนอม(ความดี)
รู้จักห้าม(ทำชั่ว) รู้จักยอม(ทำดี)....สิ่งแวดล้อม (คน,สถานที่) เลือก-หลีก(ให้)เป็น

   คิดให้มาก หากหมายสุข..........ไม่อยากทุกข์ ยากมากเข็ญ
การแสวงหา(ความดี) และละเว้น(ความชั่ว)....คือประเด็น จำเป็นเอย ฯ


๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ไร้คนรัก : กลอนอกหัก



ไร้คนรัก : กลอนอกหัก

    มีเมฆ........................แต่ไม่มีฝน
ท้องฟ้ามืดมน..................สุริยนลับหาย
มีลม..............................(แต่)ไม่มีความสบาย
อบอ้าวผ่าวกาย................เหงื่อสายไหลโทรม

    มีเรา..........................แต่ไม่มีเขา
หัวใจสร้อยเศร้า................ความเหงาฮือโหม
มีรัก...............................แต่มักเจ็บโจม
ไร้ใครประโลม..................น้าวโน้มปลอบใจ

    มินาน.........................ฝนลานหลั่งริน
รดราดปัฏพิน....................ล้นดินหลั่งไหล
หยาดฝน.........................หยดบนน้ำไว
เกิดคลื่นกลมใหญ่..............ขยายเป็นวง

    หัวใจ...........................หากได้สติ
(เมื่อ)รักงามดำริ.................มิสมประสงค์
(หากมี)รักใหม่...................(คง)ได้แต่พะวง
ระวังยั้งจง.........................ตรงจิตพิจารณา

    ไร้(คน)รัก.....................ไม่ยัก(กะ)ตาย
อย่ามัววุ่นวาย.....................กระหายตัณหา
(จะ)ไร้สุข..........................หลากทุกข์ทรมาน์
เป็นโสดดีกว่า.....................จะมาระกำ ฯ

๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เสียใจที่ไม่รักเธอ : กลอนรัก(หรือเปล่า)



เสียใจที่ไม่รักเธอ : กลอนรัก(หรือเปล่า)

    จะเป็น เช่นไร ?.................ถ้าคน รักไม่ คิดถึง
(ไม่)จดจำ คำนึง....................รำพึง ซึ้งทรวง ห่วงหา
รู้สึก อย่างไร ?.......................หากคน รักไร้ เวทนา
(เมื่อเรา)ปราศสุข ทุกขา...........(เขา)ไม่มา วิตก กังวล

    ก็คง เสียใจ.......................คิดใคร่ " เขาไม่ รักเรา? "
รู้สึก โศกเศร้า........................ปวดร้าว ทุกข์เข็ญ เป็นผล
หัวใจ สลาย...........................อยากตาย ไปเสีย ให้พ้น
รักจืด มืดมน...........................ทั้งที่ (เรา)รักจน หมดใจ

    นี่คือ สาเหตุ.......................ขอบเขต สำนึก ลึกซึ้ง
จิตย้ำ คำนึง............................ฉันจึง รักเธอ ไม่ได้
ทั้งที่ เธองาม(ทั้งกายและใจ).....งามกว่า สากล คนใด
ทั้งที่ (ฉัน)มีใจ........................ทั้งใจ จะให้ แด่เธอ

    แต่เพราะ ความรัก................จักคู่ กับความ ผูกพัน
ห่วงใย ให้กัน..........................สุขสันติ์-ทุกข์เศร้า เคล้าเสมอ
มุ่งให้ สิเน่หา...........................คอยมา เวียนวน ปรนเปรอ
ยากจัก พบเจอ.........................รักเธอ (แล้ว)ฤทัย ใสสงบ

    ฉันอยาก ปล่อยวาง...............ทุกอย่าง แม้แต่ ตัวตน
เพื่อความ หลุดพ้น....................ทุกข์ท้น วัฎฎะ ประสบ
อยากหยุด เวียนว่าย..................เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ขยายภพ
ขอโทษ ที่หลบ........................ไม่ซบใจ ให้รักเอย.... ฯ

๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ความรักของคนระคนความเลว : กลอนคติเตือนใจ(รัก)



ความรักของคนระคนความเลว : กลอนคติเตือนใจ(รัก)

    เมฆสูง เทียมฟ้า ท้าดงดอย............เมฆฝอย ลอยต่ำ รินร่ำฝน
เมฆคลุม ขอบฟ้า นภดล....................มืดมน อนธการ สายัณห์เย็น

    ลมพัด รำเพย ละเลยผ่อน...............ฝนฉาด กระฉ่อน ปลิวว่อนเห็น
สักครู่ สู่กราย เสียงหายเร้น.................สรรพเป็น เช่นสงบ ประสบงัน

    (ความ)รักของ หลายคน คล้ายฝนสาด......มาไว ไปปราด ประหลาดปั้น
รักแท้ แค่ครา (เพิ่ง)พบหน้าครัน...........(พอ)ได้กัน กลับไร้ อาลัยลา

    รักง่าย หน่ายเร็ว ใจเหลวแหลก........มิแปลก มากมาย ในโลกหล้า
หลายรัก หลากใจ ไร้สัจจา..................พบเห็น เป็นธรรมดา ทั่วสากล

    หากสิ้น ศีลธรรม มากำกับ...............รักสรรพ อัประมาณ ปานฉ้อฉล
สัญชาต (ตะ)ญาณ สันดานคน..............วกวน ฉลเฉท เจตนา

    มิควร หลงใหล ในความรัก...............มิพัก ปักใจ ใคร่ศึกษา
ธรรมชาติ สัตว์จิต พิทยา......................สร้างสรรค์ ปัญญา (ก่อน)จะรักใคร

    ความรัก มากมาย ยามวัยรุ่น..............อันตราย วายวุ่น หุนหันให้
ความรัก หลากดู ในผู้ใหญ่....................มารยา สาไถย ทำร้ายทัณฑ์

    ความเห็น แก่ตัว เต็มหัวจิต................ฉาบทา ยาพิษ ประดิษฐ์ผัน
ความเลว-ความรัก มักปนปัน..................ประมาท  พลาดพลัน บรรลัยเอย ฯ

๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ชีวิตคู่ของกูกับมึง : กาพย์ยานี๑๑



ชีวิตคู่ของกูกับมึง : กาพย์ยานี๑๑

    ที่รัก กูมันโง่...................(แต่)มึงกลับโง่ ยิ่งกว่ากู
สมองกาก ยากเรียนรู้............ลำเค็ญอยู่ สู้ชีวา

    ขี้เกียจ พอๆกัน................ชอบเพ้อฝัน มิหมั่นหา
บ้านช่อง ไม่ต้องมา...............ทำสะอาด ปัดกวาดเลย

    งานหนัก กูไม่เอา.............แม้งานเบา มึงเฝ้าเฉย
เงินทอง ไม่ต้องเอ่ย..............ก่อแต่หนี้ พีพอกพูน

    เราสอง ช่างพ้องกัน..........มักการพนัน ผลาญทรัพย์สูญ
มรดก ตกทอดมูล.................จากตระกูล จึงวอดวาย

    กิน-เที่ยว กูเชี่ยวชาญ........เริงรมย์สถาน มึงร่าน(ขวน)ขวาย
มั่วสุม กลุ่มหญิงชาย..............หลากหลายหน้า รื่นราคี

    พาเรา มาคบกัน................เพราะเมามัน กระสัน(แสง)สี
รักสนุก รุกโลกีย์...................ต่างไม่มี อนาคต

    จับคู่ อยู่กินไป...................บ่จริงใจ ;วันใดหมด
ราคะ โอชารส........................คงแยกทาง ใครทางมัน

    มีลูก ไม่ผูกติด...................ใช้ชีวิต ตามใจฉัน
อดอยาก ลำบากกัน................เรื่องของมัน ไม่ใช่กู

    คิดแส่ แค่สุขตน.................เดือดร้อนรน ช่างพวกสู
ลิขิต ชีวิตคู่............................มึงกับกู ตรองดูเทอญ ฯ

๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วิบากรัก : กลอนคติเตือนใจ(รัก)

                  
ต้นฉบับภาพจาก: http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9570000067245

วิบากรัก : กลอนคติเตือนใจ(รัก)

    ความรัก ความสัมพันธ์...................ของคนนั้น ต่าง(จาก)เส้นตรง
บางครั้ง ยังงวยงง.............................เดินหลงทาง สร้างปัญหา

    โมหะ และอารมณ์.........................จิตโสมม วิกรมกล้า
ความประมาท , ทัศนา........................ครองมิจฉา ค่านิยม ฯลฯ

    ลองรัก ลองภักดี...........................ลองราคี (จึง)ฤดีขม
หลงทราม ตาม(กระแส)สังคม..............จึงจมจิต วิกฤติใจ

    บทเรียน พากเพียรรัก.....................ก่อชนัก ยากแก้ไข
แผลเป็น เจนติดไป............................จนตายตราบ ดับชีวี

    เลือกกิจ พินิจกรรม........................เลือกศีลธรรม นำวิถี
ป้องกัน สามานย์มี.............................ในดำริ พิธีรัก

    กันไว้ ดีกว่าแก้..............................เตือนดวงแด แลตระหนัก
(ความ)ผิดพลาด พินาศนัก...................คงมากกว่า แค่หลงทาง

    ความรัก (อาจเป็น)วิบากกรรม...........ที่ระยำ ทำลายล้าง
หัวใจ ให้วายวาง................................ชีวิตพัง ร้างสุขี

    ความรัก ที่มักง่าย...........................(คือ)ทางฉิบหาย ให้ชีวี
สุชน คนที่ดี.......................................อย่าริรัก (แบบ)วิบากเลย ฯ

๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

มนาราตรี : กาพย์ฉบัง๑๖



มนาราตรี : กาพย์ฉบัง๑๖

    ราตรี ศศิวิมล...............หวนมองล่องหน
เมฆฝนหม่นม่านกั้นขวาง

    มิใยมิไร้แสงสว่าง..............ฝ้าเฟือนเลือนราง
ท่ามกลางระบายสายฝน

    บรรยากาศเย็นชืดมืดมน................ผัสสะถกล(ผัสสะ=สัมผัส,ถกล=งาม)
ไพรสณฑ์ อนธการ คราญสวย(อนธการ=กลางคืน)

    เสียงหยาดฝน ยลระรวย...............ลมพัดสะบัดช่วย
อำนวยจังหวะหฤหรรษ์

    มนัสทัศนาเสมือนกัน..............กับค่ำคืนอัน
เมฆฝนดลดาลลาญไสว

    ชั่วบาปหยาบช้าคาใจ..............มารยาสาไถย
ทำลายสุจริตพิศวง

    มนาชั่วทำดำรง................(เท่ากับ)เสือกไสไล่ส่ง
อลงกตสดใสไร้ศรี

    ความคดบดบังความดี..............มี(ก็)เหมือนไม่มี(ความดี)
ระอาราคีวิตถาร

    อย่าให้(ความ)ชั่วช้าประจาน.............กมลสันดาน
กวดขันหมั่นขัด(เกลา)ขจัดเทอญ ฯ

๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

มนตร์ขลังหยุดยั้งทุกข์ : กลอนหก



มนตร์ขลังหยุดยั้งทุกข์ : กลอนหก

    นกกระจอก คล้ายชอกช้ำ...............อก ระกำ คร่ำโศกเศร้า
ส่งเสียงร้อง ทำนองเหงา....................เกาะกิ่งสะเดา เนาเดียวดาย

    มิยอมขยับ ขับเคลื่อนที่..................แม้สุรีย์ รี่สู่สาย
จวบกระทั่ง ดั่งคลี่คลาย......................ค่อยบินหาย เข้าชายพนา

    ความโศกเศร้า เคล้าชีวิต................คู่ความคิด-ความพิษฐาน์(พิษฐาน=มุ่งหมาย)
ผิดพลาดหวัง รั้งวิญญาณ์....................เศร้าโศกา ทุกขารมณ์

    ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น.........................วิถีธรรม์ รันขื่นขม
ไม่คิดอยาก พราก ระทม.....................ไปจากจม ปมเจตจินต์

    เป็นอะไร ไปก็ช่าง.........................อย่าใคร่สร้าง ความหวังสิ้น
ทั่วทั้งฟ้า ทั้งธรณิน............................ไม่พอทิน จินดาคน(ทิน=ให้แล้ว)

    โลกไม่ใช่ ใครเจ้าของ....................อย่าเรียกร้อง เพื่อผองผล
แม้ชีวิต คิด(ว่าเป็น)ของตน..................ยังประจญ ยลจาก...ตาย

    ความอดทน คือมนตร์ขลัง................คอยหยุดยั้ง ทุกข์ทั้งหลาย
สติปัญญา พากรีดกราย.......................สุขสบาย ในโลกา

    (ทุกสิ่ง)ดำเนินได้ ไม่ต้องหวัง...........ทวีพลัง มิกังขา
ก่อกิจกรรม ตามจรรยา.........................ด้วยศรัทธา อุตส่าห์เทอญ ฯ

๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน : กลอนคติเตือนใจ



ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน : กลอนคติเตือนใจ

    รอจนแทบ ใจสลาย (ถึง)ปลายเดือนเจ็ด.........ฝนเริ่มเล็ด ลอดริน ดินชุ่มฉ่ำ
ข้าวแห้งตาย ไปบ้าง ช่างระกำ..........................ชีพชอกช้ำ ลำเค็ญ เป็นชาวนา

    ความเห็นอก เห็นใจ จากภายนอก.................ไม่ช่วยดอก หาก(ยัง)ตัดไม้ ทำลายป่า
ใส่แต่สาร เคมี เท่าบีฑา..................................ผืนดินให้ มรณา ฆ่าอินทรีย์

    กระดูกสันหลัง ของชาติ ขาดความคิด............ทำตามจิต มิจฉา หาวิถี
เป็นคนรัก ความมักง่าย (แต่)อยากได้ดี...............ชีวิตนี้ มิพ้น ทุกข์วนเวียน

    สัจจะเห็น เป็นไป ในโลกล้วน.......................เหตุกระบวน ถ้วนถี่ มิแปรเปลี่ยน
เพราะทำชั่ว ด้วยตัวเอง พึงเพ่งเพียร...................เกิดบทเรียน เจียนจิต พิทยา

    เอาความผิด(พลาด) เป็นครู อย่าอยู่นิ่ง............เอาความจริง อิงสรร แก้ปัญหา
เอาความสัตย์ ทัศนีย์ ปฏิญาณ์...........................เอาความกล้า บำรุง ปรับปรุงตน

    มิงอมือ งอเท้า เฝ้าแต่รอ..............................เฝ้าแต่ขอ น้ำใจ ไร้เหตุผล
รอคอยความ ช่วยเหลือ พร่ำเพรื่อรน....................แต่กลับไม่ คิดค้น ช่วยตนเอง

    ความสามารถ=สัจธรรม->ความสำเร็จ..............อุตสาหะ พาเผด็จ เจตกล้าเก่ง
ความทุ่มเท ลังเลไร้ ใช้บรรเลง...........................ร้อยบทเพลง รัถยา ชีวาชัย

    คนไม่หยุด อุตส่าห์ จะเป็นสุข..........................คนเกียจคร้าน จะทุกข์ และยากไร้
" ตนแลเป็น ที่พึง " จงซึ้งใจ...............................คนอื่นพอ ช่วยได้ (แต่)ไม่มากเอย ฯ

๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ข้าวกับหญ้า คุณค่าของความแตกต่าง : กลอนคติสอนใจ



ข้าวกับหญ้า คุณค่าของความแตกต่าง : กลอนคติสอนใจ

    เสียงลมไล้ ใบไม้ กลางสายฝน...........หรือใบไม้ โดนฝน จนดังหนอ  ?
หรือทั้งลม และฝน ระคนคลอ.................จึงเกิดก่อ เสียงเพราะใส ใบไม้ดัง

    ลมยามเช้า เคล้าเคลีย เลียยอดหญ้า....แล บนฟ้า อาทิตย์ มิดมอดหวัง
เมฆสีเทา เคล้าคลอ ก่อเกิดยัง................ฝนรินหลั่ง พรั่งพรู ตรูพิไล(ตรู=งาม)

    ข้าวเริ่มฟื้น คืนเรียว เขียวขจี...............หลังจากที่ ฝนท่วง ทิ้งช่วงไร้
ดินเริ่มชื้น คืนมา หลังคลาไคล................แม้ยังไม่ มีน้ำ ขังตาม(ท้อง)นา

    ข้าวกับหญ้า หาได้ ต่างสายพันธุ์.........แต่สร้างสรรค์ ต่างคุณ จำรูญค่า
ข้าวปลูกขาย ขยายพันธุ์ เพื่อธัญญา.........แต่ทว่าหญ้า = วัชพืช ดินยึดครอง

    ข้าวอาศัย แค่ดิน กินแค่น้ำ.................ให้ผลล้ำ เลอค่า คืนสนอง
อาบแดดแสง แห่งสุรีย์ ที่สาดส่อง............ผลิตรวงทอง กองเกรียง เลี้ยงโลกา

    หลังต้นตาย ใช้ฟาง สร้างประโยชน์......จาระไน ไม่หมด โรจน์คุณค่า
คุณของข้าว เหล่านั้น เหลือพรรณนา.........จนหลายชาติ บูชา สาธุการ

    หญ้ากลับยล ต้นใย ไร้ประโยชน์...........บังเกิดโทษ ต้องตัด ประหัตประหาร
เป็นที่ซ่อน อสรพิษ ใกล้ชิดบ้าน................ขยายพล่าน พันธุ์ง่าย มากมายมี

    อุปมา อุปมัย คล้ายกับคน....................ประพฤติตน ล้นค่า สง่าศรี
แลหลากคน ฉลชั่ว ตัวอัปรีย์.....................เลือกชีวี เลือกเว้น เลือกเป็นเทอญ ฯ

๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

คนมีคุณค่า : กลอนคติสอนใจ



คนมีคุณค่า : กลอนคติสอนใจ

    .......................................คนเรานี้จะมีคุณค่า
ไม่ใช่ด้วยการวางท่า-...............ทางว่าฟุ้งเฟื้อเย่อหยิ่ง

    .......................................ลำพองจองหองสิยิ่ง
มิต่างดั่งค่างแลลิง....................กลอกกลิ้งยิงตากล้าพองขน

    .......................................ความสงบเสงี่ยมเจียมกมล
จึงจะบันดาลบันดล...................ให้คนยลงามสำอางมี

    ........................................คุณค่าปรากฏสดศรี
สวยหมดจดพจนีย์....................ด้วย(การ)ทำหน้าที่ให้ดีงาม

    ........................................เว้นการกระทำกรรมทราม
ชั่วช้าน่าประณาม......................เหยียดหยามตามแต่ใจตน

    .........................................ต่อให้(มี)ทรัพย์เฝือเหลือล้น
หากทุจริตจิตวิกล......................โฉดฉลคนฤา(ยินดี)ถือท้าย

    .........................................กำหนัดดัดจริตกรีดกราย
เททุ่มฟุ่มเฟือยจับจ่าย................สิคล้ายคนโง่เมาโมหะ

    .........................................ส่วนคนดีที่มีธรรมะ
ยึดเด่นเป็นสรณะ.......................สัมมาอาชีวะเข้มแข็ง

    .........................................ประกอบกุศลกรรมสำแดง
จิตใจพิไลกล้าแกร่ง....................ประดุจดั่งแสงแห่งสุริยา

    ..........................................จึงจะจำรูญคุณค่า
ชีวีพิพัฒน์ทัศนา.........................ไม่ต้องวางท่าให้น่าชัง ฯ

๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เริ่มวันใหม่ : กาพย์ฉบัง๑๖



เริ่มวันใหม่ : กาพย์ฉบัง๑๖

    ใกล้ตีห้ามองหน้าต่าง................ฟ้าเริ่มกระจ่าง
แสงน้ำเงินลางเลือนเคลื่อนไหว

    วิหค นกร้องก้องไกร................บันเทิงเริงใจ
รับวันใหม่หฤทัยหรรษ์

    เงาตระคุ่มพุ่มพฤกษ์พรรณ.............ค่อยคลายสีสัน
เขียวขจีครันตามกาลคล้อย

    หมู่มาลีที่รอคอย..............สุริยาละห้อย
พลอยเบ่งบานสะคราญใส

    ชูช่อล้อลมพรมไพร..............เพลาผ่านไป
สุริยนพ้นยอดไม้ไรเรือง

    สติสัมปชัญญะกระเตื้อง..............กิจมุ่งฟุ้งเฟื่อง
ปลดเปลื้องเรื่องรกยกห่างหาย

    ปลุกจิตคิดจรผ่อนคลาย..............หน้าที่ขวนขวาย
อย่าให้บกพร่องข้องขัดสน

    ก่อกรรมทำดีนิรมล..............ไม่เห็นแก่ตน
เสียจนไม่เห็นหัวคนอื่น

    น้ำใจ=น้ำทิพย์หยิบยื่น..............มอบความสดชื่น
แด่ผืนปัถพีอารีใส

    ชีวิตพิศเพราเช้าวันใหม่...............สุจริตจิตใจ
สุขสบายไปตลอดวันเอย ฯ

๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๗

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ขอฝากหัวใจ : กลอนรัก



ขอฝากหัวใจ : กลอนรัก

    ขอฝาก หัวใจ ไว้กับฝน............รดหล้า สากล จนฉ่ำฉันท์
สุขุม รุ่มรื่น ชื่นชีวัน......................มิพรั่น ครรลอง คล่องเดียวดาย

    ขอฝาก หัวใจ ไว้กับลม............วิกรม วิญญาณ์ ลดระหาย
ไม่มี (คน)ที่รัก ไม่ยักตาย.............สบาย กมล รักตนเอง

    ขอฝาก หัวใจ ไว้กับดาว...........จะก้าว ต่อไป ไม่เครียดเคร่ง
ชีวัน สรรสร้าง ว่างบรรเลง.............ดุจพราว ดาวเพลง เปล่งประภา

    ขอฝาก หัวใจ ไว้กับจันทร์.........รัก(มี)..ความ สำคัญ ค่อย(ๆ)สรรหา
(แต่)ไม่ใช่ เรื่องใหญ่ อย่าไปบ้า......กระสัน ตัณหา รีบระดม

    ขอฝาก หัวใจ ไว้กับฟ้า.............จนกว่า จะพบ ผู้เหมาะสม
คนที่ ดีรักษ์ ภักดิ์ภิรมย์.................ชื่นชม วิถี จริยธรรม

    ขอฝาก หัวใจ ไว้กับดิน.............รอคน ประคิ่น ศีลจุนค้ำ
ดำเนิน ชีวิต ก่อกิจกรรม.................เลิศล้ำ ความดี มิแคลนคลอน

    ขอฝาก หัวใจ ไว้กับชล..............คอยคน ควรค่า สโมสร
ยืนหยัด วัตระ สถาวร.....................สังวร อ่อนโยน กมลมี

    ขอฝาก หัวใจ ไว้กับโลก.............บ่โศก บ่เศร้า เคล้าบัดสี
แม้นไม่ ประสบ พบคนดี..................ขอรัก โลกนี้ ปรีติดล

    ขอฝาก หัวใจ ไว้กับเธอ..............ผู้เปรอ ปรนใจ ให้กุศล
ซื่อสัตย์ สุจริต จิตวิมล....................ไม่ฉล ฉ้อหลอก กลิ้งกลอกลวง

    ขอฝาก หัวใจ ไม่แปรเปลี่ยน........จำเนียร เจียรจรัส สวัสดิห้วง(จำเนียร,เจียร=นาน)
รักเธอ เสมอดั่ง สิ่งทั้งปวง................ที่สรวง สวรรค์ สรรค์สร้างเอย ฯ

๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๗