ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ปัญหาการพัฒนา : กลอนเปล่า



ปัญหาการพัฒนา : กลอนเปล่า

    กลิ่นหอมของดอกโมกข์ ในโลกราตรี
ช่างมากมีฤทธีมนตร์ขลัง
มวลอากาศเย็นเป็นพาห พาไหลหลั่ง(พาห = อ่าน พาหะ)
ไปทั่วทั้งพนาพี พิรามอำไพ

    ความมืดช่วยประทินกลิ่นหอม ?
สิ่งแวดล้อมที่สงบ สะอาดใส
อารมณ์อันละเมียดละไม
ล้วนแล้วแต่หนุนให้...ได้สุนทรีย์

    งดงามในความรู้สึก
บรรยากาศยามดึก...เอกา...สุทธศรี
สรรพชีวิน สมควรจะยินดี
หากแม้นมี ความวิจิตรพิสมัยในอุรา

    ธรรมชาติที่บริสุทธิ์
ยงอยู่ได้...เมื่อใจมนุษย์หยุดปรารถนา
หยุดอยากทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ตกแต่งภาพสะคราญ ว่าเป็น " การพัฒนา "
ที่สุดกลับสร้างปัญหา
สารพัดพิบัติภัย

    หยุดความอยากของมนุษย์ ?
ดูจะเป็นการหยุดที่สุดวิสัย
ระบบการศึกษา ที่กระบวนการศึกษาขาดไร้
ที่เพียงทำแค่ได้
ใบปริญญา เพื่อใช้สมัครงาน

    ความมีจิตสำนึก
คือผลของกระบวนการศึกษาที่ผสาน
ระหว่างความเป็นจริง กับสิ่งที่ก่อให้เกิดความคิดอ่าน
แลเห็นเป็นคุณสมบัติขาดไร้-กันดาร
ในกมลมาน...ของมนุษย์ทั่วไป ฯ

๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

คุณความดีที่สร้างโลก : กลอนหก



คุณความดีที่สร้างโลก : กลอนหก


    ความสว่าง สร้างชีวิต...............ความมืดมิด ปลิดชีวา
ดวงตาวัน สรรค์ส่องหล้า...............ให้พฤกษา สังเคราะห์แสง

    เป็นบ่อเกิด พลังงาน................มีอาหาร การตบแต่ง
สูรย์กิจกรรม นำเปลี่ยนแปลง..........ทั่วหนแห่ง แหล่งโลกา

    ความดีสิ สร้างสรรค์สิ่ง..............คือความจริง อิงสัจจา
ไม่ใช่ กิเลสตัณหา........................ความชั่วช้า บาปสารพัน

    ศรัทธาต่อ การกระทำ................ไม่ใช่พร่ำ แค่ความฝัน(ใฝ่)
เพราะชอบใจ ในกิจกรรม์................จึงแข็งขัน คอยทุ่มเท

    เอาใจใส่ ใคร่ครวญคิด...............ทุ่มจิตใจ ไม่หันเห
ไม่เซซวน มิรวนเร.........................นึกฉลเฉ เพทุบาย

    หาความรู้ อย่าหย่อนหยุด...........พัฒนารุด หน้าขวนขวาย
ต่อยอดสู่ ไม่ดูดาย........................แพร่ขยาย ให้จำเริญ

    ความซื่อสัตย์ สุจริต..................ทั่วทุกทิศ พิศสรรเสริญ
คุณความดี มิหมางเมิน..................เพลินเพลิดพร่าง สร้างโภไคย(โภไคย=ทรัพย์สมบัติ)

    จงพิเคราะห์ และเพาะบ่ม...........ค่านิยม รักษาไว้
อย่าเลือนราง จางจากใจ.................ตลอดไป เกรียงไกรเทอญ ฯ

๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ใจคด : กาพย์ฉบัง๑๖



ใจคด : กาพย์ฉบัง๑๖

    บอนไซไม้ดัดจัดคด.................ทัศนาปรากฏ
หมดจดงดงามล้ำเหลือ

    ประณีตพิสดารพานเจือ...............ประกอบความเชื่อ
เอื้อเฟื้อปรัชญาชีวิต

    ศิลปะธรรมชาติพิจิตร................จำลองผ่องพิศ
ย่อส่วนชวนชิดพิสมัย

    ต่างจากความคดจดใจ.................ดลดาลจัญไร
ในสายตาคราพบเห็น

    ทุจริตจิตกรรตุจัดเจน................ยากเยี่ยงเบี่ยงเบน(กรรตุ-อ่าน:กัด=ผู้ทำ)
เป็นต้นกำเนิดเกิดสามานย์

    ครอบงำความคิดพิษฐาน................ก่อกรรม์ทัณฑ์การ
ชำนาญชั่วบาปหยาบช้า

    ดุจโกมลใต้ชลธาร์................เคลียเคล้าเต่าปลา(โกมล=ดอกบัว)
หาแสวงแสงสว่างพร่างพราย

    คนที่ฤดีคดโฉดร้าย...............ป่วยการบรรยาย
ถ่ายทอดรู้แหนแก่นธรรม

    ท่องมนตร์จวบเช้าจนค่ำ...............วัดวาประจำ
ใจคงมืดดำลำเค็ญ

    อดสูแก่ผู้พบเห็น................(คน)โตใหญ่ได้เป็น
ก่อทรามทำเข็ญมิเว้นวาง

    คดคิดจิตจัดขัดขวาง................กุศลหนทาง
ย่างสู่ทุคตินิรันดร์ ฯ

๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อย่าก่อกรรมทำเข็ญ : กลอนแปด



อย่าก่อกรรมทำเข็ญ : กลอนแปด

    แสงสุรีย์ สีทอง ที่ส่องพ้น..................ยอดไพรสณฑ์ จนสว่าง กลางห้วงหาว
เป็นสัญญาณ วารสาย สยายยาว..............แม้ความหนาว เคล้าคลอ บ่ผ่อนคลาย

    ชลธาร ระหานน้ำ ยามหน้าแล้ง............ดูเหือดแห้ง ปลาหอย ร่องรอยหาย
เพียงหินกรวด กลมกระ เกลื่อนประปราย....หาได้คล้าย สายน้ำ เคยร่ำริน

    ถึงมีสุข/ทุกข์ย้ำ ยากลำบาก................ย่อมพลัดพราก จากไป ไม่หวนสิ้น
สัจธรรม ส่ำผูก ทุกชีวิน...........................ให้เกิดมา หากิน ก่อนดับตาย

    อย่าไปหลง ยศถา บรรดาศักดิ์..............แม้แต่(ความ)รัก ปักจิต ชีวิตหมาย
แค่เพียงมา ยาภาพ พร้อมดับกลาย............ดูคลับคล้าย คลับคลา ว่าเคยมี

    เวลาวาร ผันเปลี่ยน ดูเวียนไว...............นับ(ว่ายัง)เชื่องช้า หาไว เท่าใจ(คน)นี้
อายุคน พ้นผ่าน วันเดือนปี.......................เดี๋ยวชีวี ที่รัก ก็จากจร

    หากไม่มี (ความ)ดีงาม กรรมสูงส่ง.........โลกนี้คง ไม่สู่ สร้างอนุสรณ์
คนตายแล้ว (ก็)แล้วไป ไร้อาวรณ์..............อุทาหรณ์ ย้อนใคร่ ให้คิดครวญ

    อย่าก่อกรรม ทำเข็ญ เป็นอันขาด...........จะไม่อาจ ย้อนกรรม ย้ำแก้หวน
กฎแห่งกรรม ธรรมแท้ มิแปรปรวน..............ประดุจตรวน ตามติด พิจารณา

    เมื่อไม่ได้ ทำชั่ว อย่ากลัวบาป...............เมื่อทำดี มิสาบ สูญบุญหนา
ไม่ใช่เพียง ชาตินี้ มีชีวา...........................แต่ยังมี ชาติหน้า วัฏฏะเอย ฯ

๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ชะตาเผชิญ : กาพย์สุรางคนางค์ ๓๒



ชะตาเผชิญ : กาพย์สุรางคนางค์ ๓๒

    ลมเย็น เป็นใจ.................อโณทัย ใสศรี
สุทัศน์ ปัถพี........................รุ่งระวี สีสัน
สุทธา อากาศ......................ธรรมชาติ อัศจรรย์
ปักษา ประพันธ์....................หฤหรรษ์ ดนตรี

    หมอกพราง บังไพร...........ปลายหนาว เบาบาง
พนา กระจ่าง........................เหินห่าง วิถี
ใบไม้ ร่วงหล่น......................เกลื่อนกล่น มากมี
หนาวคลาย กลายคลี่.............เริ่มรี่ ร้อนฤดู

    เมื่อโชค ชะตา..................ชีวา ลิขิต
ไม่อาจ เบือนบิด....................คิดต้าน คร้านสู้
ดีแต่ ทำใจ...........................ให้เข้ม แข็งอยู่
อย่าสลด หดหู่......................รู้ผ่อน ร้อนรน

    วิธี คลี่คลาย......................จงหมาย สุจริต
อย่าซ้ำ ทำผิด.......................คดคิด อกุศล
ตั้งใจ ให้มั่น..........................ขันติ อดทน
อุตส่าห์ ประจญ.....................สิพ้น ผ่านไป

    ไม่ขาด ไม่เกิน..................เผชิญ เวรกรรม
ความดี อุปถัมภ์.....................ความชั่ว ผลักไส
เมื่อชะตา มาถึง.....................อาจพึ่ง พาใคร ?
เก่ากรรม ทำไว้......................ของใคร ของมัน

    มองเหมือน ฤดู..................มาสู่ ลุล่วง
สุข/ทุกข์ ทั้งปวง....................เพียงห้วง สีสัน
ไม่เที่ยง ไม่แท้......................แม้แต่ ชีวัน
ถึงครา อาสัญ........................อันตรธาน บรรลัย ฯ

๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โลกและพุทธะ : กลอนเจ็ด



โลกและพุทธะ : กลอนเจ็ด

    ฝนตก ทั้งคืน เช้าชื้นฉ่ำ................ที่ลุ่ม ชุ่มต่ำ น้ำขังเห็น
ลมสะบัด พัดพา อากาศเย็น...............ยิ่งเป็น วันหยุด สุดสัปดาห์

    ลุกตื่น ชื่นชม รมย์ธรรมชาติ...........ทัศนา สะอาด สุดปรารถนา
รงค์รอง ส่องแสง สุริยา.....................งามตา ปรากฏ หมดจดการณ์

    จับจ้อง มองใจ ไม่ปล่อยจิต............ตรองตาม ความคิด พิษฐาน
กิเลส ตัณหา อุปาทาน.......................(ความ)ขัดข้อง-พร่องพาน มานผจญ

    กล่อมเกลา จิตใส ใจสะอาด............ความคิด ผุดผาด พิลาสล้น
เทียบเคียง ครองธรรม กรำกมล............คงสุ กุศล ถกลมี(ถกล=งาม)

    ระงับ ดับร้อน สรสงบ.....................ประสบ วิเวก อดิเรกศรี(อดิเรก=พิเศษ)
(แม้)รอบกาย วายวุ่น กรุ่นเต็มที............แต่ฤดี ปรีดา ประภาพาน

    ธรรมะ ทำให้ ใจสงบ......................(เพื่อ)อาศัย ในพิภพ ลบพลุ่งพล่าน
หาใช่ ให้แปลก แยกพิสดาร.................วิตถาร มนุษย์ หลุดโลกา

    หลักการ วิมุติ พุทธศาสน์................ไม่ได้ หมายมาด ประหลาดหา
ขัดเกลา กิเลส เพทนา........................หาใช่ มารยา บ้านิยม

    กำจัด ทุจริต ความมิจฉา..................มิใช่ ไขว่คว้า มาสะสม
สุจริต จิตใส ใจอุดม...........................มิได้ เพาะบ่ม โง่งมงาย

    อยู่ใน โลกอย่าง ร่วมสร้างสรรค์.........ศีลธรรม์ บันเทิง เริงรื่นหลาย
อยู่อย่าง ร้างทุกข์ สุขสบาย..................หยุดทร (ระ)มานกาย และใจเอย ฯ

๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

คนกับคน : กลอนคติชีวิต



คนกับคน : กลอนคติชีวิต

    ตื่นมา ตอนเช้า....................สัมผัส (ความ)ชื้น-หนาว ราวหน้าฝน
สิ้นสี สุริยน.............................นภดล หม่นหมอง เมฆครองคลุม
ลมโบก พัดพา........................ใบไม้ แห้งมา สะสมสุม
ดินผืน ชื้นชุ่ม..........................หลังฝน รนรุ่ม คลุ้มคืนวาน

    วิหค เริงร่า.........................ไม่ว่า หน้าหนาว หรือคราวร้อน
คิดหวน คืนย้อน......................คนกลับ ซับซ้อน รอนสุขศานติ์
วิถี ชีวิต.................................วิปริต หรือวิจิตร อลังการ ?
(ความ)สามารถ หลากลาน........แต่กลับ กันดาร สำราญใจ

    คนช่วย เหลือคน.................บริการ เพื่อยล ดลประโยชน์
คนยัง สร้างโทษ......................ด้วยการ ฉลโฉด โสดสาไถย(โสด=ส่วน)
คนสา มัคคี.............................สร้างความ สุขี วีรชัย
คนพาล จัญไร.........................ทำลาย ได้สิ้น แผ่นดินดร

    คนพึ่ง พากัน.......................และห้ำ หั่นกัน กว่าสัตว์อื่น
สังคม สมครื้น..........................และอุดม ขมขื่น ดื่นหลอกหลอน
คนน่า พัวพัน...........................และน่า หวาดหวั่น คอยบั่นทอน
ความสุข สโมสร.......................เกิดก่อ/กัดกร่อน ก็จากคน

    ต้องเข้า สังคม.....................ต้องเพียร สั่งสม องค์ความรู้
ใครควร หาสู่...........................ใครควร ห่างอยู่ ให้ไกลหน
ตลอดชั่ว ชีวิต.........................จะวิจิตร หรือวิกฤติ ก็เพราะคน
คงหนี ไม่พ้น..........................ธรรมชาติ วิจล ของคนเอย ฯ(วิจล=วุ่นวาย)

๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

มุมมองของความคิด : กลอนเจ็ด



มุมมองของความคิด : กลอนเจ็ด

    มองงาน ที่ทำ คำนึงคิด.................สัมฤทธิ์ เท่าไร ภูมิใจเหลือ
เวลา ที่ทำ ล้ำล่วงเอื้อ.......................มากมาย กลายเกื้อ เกียจคร้านใจ

    มองงาน ที่ค้าง ยังไม่เสร็จ.............ตั้งเจต (ตะ)นา อุตส่าห์ให้
เวลา ที่เหลือ หลั่งเยื่อใย...................เร่งไว ให้เสร็จ สมเจตนา

    ตริตรอง มองทรัพย์ ที่จับจ่าย.........มากมาย ไม่น้อย คล้อยตัณหา
ส่วนทรัพย์ นับยัง เหลือค้างคา............ร่อยหรอ รอท่า หาใหม่เติม

    ไตร่ตรอง จองใจ ใช้ประหยัด..........ถ้าหาก อัตคัด ค่อยจัดเสริม
เงินมี เหลือมาก จักแจ่มเจิม................พูนเพิ่ม ทวี พิบูลวัน

    ฤดี พินิจ พิจารณา........................ชีวา พสุ บรรลุสรรค์(พสุ=สมบัติ)
นับไป ภายหน้า อายุพลัน...................มากขึ้น ตื้นตัน วันยืนยาว

    แต่ถ้า มาปรับ นับถอยหลัง..............จะยัง เริงร่า หรือตาขาว ?
ชีวา ค่อยๆ น้อยลงราว........................เดินก้าว เข้าสู่ ประตู(ความ)ตาย

    เวลา ลดลง ส่งเสริมคิด...................เร่งหยุด ทุจริต พิศขวนขวาย
อันความ สนุก สุขสบาย.......................ทรัพย์หลาก มากมาย ไร้จีรัง

    ตัวเรา เอาไป ไม่ได้ดอก..................จนตรอก นอกจาก ฝากความหวัง
กับบุญ กุศล เคยดลดัง........................พลัง พิลาส ชาติหน้าเอย ฯ

๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พึ่งตนเป็นที่ตั้ง : กลอนเปล่า



พึ่งตนเป็นที่ตั้ง : กลอนเปล่า

    คืนนี้...คงหนาว
หลังจากฝนรินหลั่งราวสองทุ่ม
ดินผืน...ที่ชื้นเปียกชุ่ม
นุ่มนวลงาม ยามสะท้อนแสงไฟ

    ก่อนที่จะมีฝน
สายลมกระโชก รน จนเรือนสั่นไหว
ก่อนที่จะเกิดความเข้าใจ
ฝนก็รินหลั่งไหล ส่งท้ายให้เหมันต์

    หอมกลิ่นสุคนธ์ ของฝนปลายหนาว
แม้ไร้ซึ่งแสงดาว แวววาวพราว...นภาผัน
แต่หัวใจ ให้เป็นสุขสำราญ
ผสมกับความมุ่งมั่น พร้อมรับคิมหันตฤดู

    ทุกสิ่งอย่างย่อมผ่านพ้นไป
ประโยชน์อะไร กับการจะไปหดหู่(กับอดีต)
ดีแต่มองอนาคต จดจ่อขอขับสู้
อย่าได้เป็นผู้ ที่อยู่อย่างไม่คิดสร้างสรรค์สิ่งอันใด

    ชีวิตทุกคน ย่อมพึ่งตนเป็นที่ตั้ง
ความผิดพลาดพลั้ง อันเคยสั่งสมถมไว้
ตนจะต้องรับผล มิอาจโอนไปให้ใคร
ส่วนความสำเร็จทั้งหลาย ขาดไม่ได้คือความสามารถของตน

    ปัญญา...เป็นเสมือนเครื่องมือสารพัดนึก
การอ้างอิงความรู้สึกผนึกเข้า ย่อมเท่ากับทำสับสน
ยิ่งเอาอารมณ์ผสมผสาน สืบเป็นสันดานของใครหลายคน
ยิ่งก่อเกิดความอลวน จนอลหม่านวุ่นวาย

    ไม่นาน...ฝนพลันสิ้นสุด
ขอหยุดกิจกรรม ยุติความขวนขวาย
ล้มตัวลงนอน หนุนหมอนอ่อนนุ่มสบาย
หลับตา อำลาสรรพสิ่งทั้งหลาย
หายใจเบาๆ...เข้าสู่ห้วงนิทรา ฯ

๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บ่อเกิดแห่งความสุข : กาพย์สุรางคนางค์๒๘



บ่อเกิดแห่งความสุข : กาพย์สุรางคนางค์๒๘

    .....................................กอบการ งานกิจ
กลางแสง อาทิตย์.................รองอร่าม ยามเช้า
ในห้วง เหมันต์......................หนาวสั่น บรรเทา
กายกรุ่น อุ่นเร่า.....................ฤดี ปรีดา

    .....................................อรุณ รังสี
ไม่ทำ ให้มี...........................ทวี ตัณหา
ทองแทง แสงสุร....................กระตุ้น ปัญญา
วิจิตร พิจารณา......................ชีวา ปรารมภ์

    ......................................กิเลส ตัณหา
หากแม้น ชินชา......................อุรา ทับถม
จะเพิ่ม โมหะ.........................สติ โง่งม
จิตด้อย ถอยจม......................โสมม นที

    ......................................(ทุกคน)ต่างก็ ปรารถนา
อยากมี ชีวา...........................งามสง่า สุขี
แต่ถ้า คุณธรรม.......................ต่ำไร้ ไม่มี
ย่อมทุกข์ ทวี..........................ย่ำยี บีฑา

    .......................................จริยะ ปฏิบัติ
ราคี วิรัติ................................วัตรเห สิเน่หา(วิรัติ=งดเว้น)
ถือศีล เป็นหลัก.......................ธรรมจักร ชักพา
ดำเนิน ชีวา............................ศรัทธา อาทร

    .......................................บุญกรรม ความดี
สะอาด ทัศนีย์.........................วีระ อดิศร
เยี่ยงยืน อยู่บน........................กุศล ชลธร
พาดผ่าน อมร..........................ศุภากร พรชัย ฯ(ศุภากร=ศุภ+อากร)

๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

คนชั่วมีตนเป็นศัตรู : กลอนหก



คนชั่วมีตนเป็นศัตรู : กลอนหก

    เดือนกุมภาฯ อากาศเย็น.................คราวหนาวเว้น เร้นไพรสณฑ์
หลากพฤกษา ลานผจญ.....................ใบแห้งหล่น ทับท้นกัน

    ใบหูกวาง ต่างเปลี่ยนสี...................ร่วงธรณี ที่เปลี่ยนผัน
ส่งสัญญาณ์ ว่าเหมันต์........................จักจรปัน จรัลไป

    ใบสีแดง ที่แห้งกรอบ.....................ตกรายรอบ โคนต้นใหญ่
ทิ้งกิ่งก้าน ร้างลาญไกล......................ยังจิตให้ ไร้เบิกบาน

    เฉกคนชั่ว มัวเมาโฉด.....................มิเห็นโทษ โหดเหี้ยมหาญ
คิดชั่วช้า ใคร่สามานย์.........................สนุกสนาน เป็นพาลชน

    สัจจาธรรม กรรมาถ่อง....................มิบกพร่อง สนองผล
ทุกข์วาดเดช เทวษดล........................ต้องอับจน ตนชะตา

    สรรเภทภัย มาใส่ตัว.......................เพราะเมาชั่ว มัวฉลหา
มองเห็น(ความ)เขลา เบาปัญญา...........โศภิตตา งามสะคราญ

    จึงมีตน เป็นศัตรู............................เวรกรรมสู่ กรูเสกสาน
มีชีวาตม์ ชาติสามานย์.........................เพื่อเผาผลาญ ชนม์บรรลัย

    มีสมอง เพื่อคล่องคิด......................ทางทุจริต มิจฉาไถย
มีชีวา เพื่ออะไร ?...............................ประโยชน์ให้ ไม่หวนเคย ฯ

๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บอกลาหน้าหนาว : โคลงสี่สุภาพ



บอกลาหน้าหนาว : โคลงสี่สุภาพ

. สายหมอกมาหยอกหญ้า..............ยามหนาว
แนบสนิทเชยชิดราว.......................รักแท้
ปกคลุมนวลนุ่มขาว........................ปรากฏ
บดบังบรรพตแล้............................หลากร้อยเลือนสลาย ฯ

. สายหมอกมาพอกฝ้า...................พาฝัน
อโณทัยกลายสวรรค์.......................รมย์รื้น
ทั่วหัวใจหฤหรรษ์...........................บรรเจิด
เหมือนเกิดใหม่กายฟื้น....................ต่างพ้องพิภพ ฯ

. อวลอบไอหมอกล้ำ......................ลมปราณ
แทรกสู่อุระลาน..............................ลึกซึ้ง
ของฝากจากฤดูกาล........................ปีหนึ่ง
ไม่กี่เดือนเลือนรึ้ง............................ฝากให้ใฝ่หา ฯ

. ดูเด็กเดินมุ่งหน้า..........................(ไป)โรงเรียน
วัยที่พึงพากเพียร.............................เพื่อ(ความ)รู้
ผ่านวัยไป่หวนเวียน..........................กาลกลับ
ขับดันชีวันสู้....................................รอบรู้วิทยา ฯ

. รากฐานอนาคตสร้าง......................คราเยาว์
หากใครใคร่แต่เอา............................เล่น-ดื้อ
เติบใหญ่ปัญญาเบา..........................ง่วนโง่
โตแต่เขลาคิดรื้อ..............................ยากแค้นแสนเข็ญ ฯ

. อยู่เย็นเป็นสุขได้...........................สมหวัง
หากเยาว์วัยใฝ่ฟัง.............................ผู้รู้
รักดีวิริยะดัง.....................................สอนกล่าว
เป็นพัสตร์ขาวพราวผู้.........................เพียบพร้อมคุณธรรม ฯ

. สายหมอกบางบอกหล้า..................ลาหนาว
หวนมาใหม่อีกราว.............................รอบ(ฤดู)หน้า
ความใสวัยหนุ่มสาว...........................ไคลจาก
ยากปักใจมั่นกล้า..............................ชาติหน้าเกิดไหน ?

๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บอกรัก : กลอนคติรัก



บอกรัก : กลอนคติรัก

    เมื่อดวงใจ ใฝ่รัก ประจักษ์จิต................จะประดิษฐ์ กิจกรรม สัมพันธ์สาน
ซึ่งปกติ มิประสบ ยากพบพาน...................ในสาธารณ์ มานชน สกลไกล

    แทนคำเอ่ย เผยรัก จากพจี...................ด้วยฤดี ปรีดา เปรยพิสมัย
คอยเวียนแวะ และเฝ้า เอาใส่ใจ.................ช่วยเหลือใน ภารพิศ ชิดดวงแด

    ชอบไถ่ถาม ความทุกข์/เป็นสุขี..............มักมอบมี ของฝาก จากใจแม้
เป็นของเล็ก ของน้อย คอยดูแล.................บางครั้งแค่ แกล้งมา เห็นหน้ากัน

    เปี่ยมพลัง หวังดี  มีน้ำใจ......................ถึงเหน็ดเหนื่อย เพียงไหน มิไหวหวั่น
อยู่ร่วมทุกข์ สุขพร้อม น้อมชีวัน..................มิรังเกียจ เดียดฉันท์ จรรโลงจินต์

    สุจริต จริงใจ ใสสัตย์ซื่อ........................ประพฤติถือ เสมอต้น จนปลายสิ้น
ทะนุถนอม ยอมรับ ปรับชีวิน.......................มิถวิล หินแส่ เห็นแก่ตัว(หิน=ต่ำ,ชั่ว)

    ให้อภัย ใดคิด ข้อผิดพลาด....................มิอาฆาต กราดโกรธ โทษทัณฑ์ทั่ว
มิบังคับ บงการ มานเมามัว.........................หรือทำชั่ว ให้ช้ำ ระกำชนม์

    การกระทำ สำคัญ กว่าการพูด.................เครื่องพิสูจน์ วุฒิ วิบูลผล
ให้รู้จัก หัวใจ จริงในคน.............................สุดประเสริฐ เพริศล้น พ้นวาจา

    รักที่เอ่ย ด้วยปาก ไม่อยากได้.................รักที่เอ่ย ด้วยใจ ใคร่ปรารถนา
คำว่า " รัก " จาก(ปาก)คน ล้นมารยา............ยากจักหา รักแท้ ที่แน่นอน ฯ

๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ที่พึ่งยอดนิยม : กาพย์ฉบัง๑๖



ที่พึ่งยอดนิยม : กาพย์ฉบัง๑๖

    ในโลกนี้มีความเชื่อ...............มานมนานเมื่อ
เพื่อมั่นใจในชีวา

    เพราะธรรมชาติมากปัญหา................คนมาก อวิชชา
ยากจะบรรลุสมประสงค์

    (คนจึง)มองหาที่พึ่งซึ่งคุณทรง................สำเร็จเจตน์จง
ตรงสู่ผู้ที่จากไป

    คนตายจะช่วยใครได้ ?...............แม้แต่ตนไซร้
ยังไร้ชีวาอาสัญ

    ยามที่ยังมีชีวัน...............ต่างใครใดกัน ?
ประสบปัญหานานามี

    ดิ้นรนวนเวียนวิถี................สุข-ทุกข์คลุกคลี
หามีวิเศษเวทย์อันใด

    เมื่อละสังขารสารไข...............คนกลับสนใจ
กราบไหว้ให้ความนับถือ

    ไม่น้อยเลยชอบเอ่ยชื่อ...............ประดุจดั่งคือ
เครื่องมือป้องภัยใน(ยาม)คับขัน

    เป็นที่พึ่งซึ่งชีวัน.............สรรพสิ่งสารพัน
เทียวมาบนบานขานขวาย

    พบในศาสนามากมาย.................ลัทธิงมงาย
อันตรายหากไปวิจารณ์เอย ฯ

๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ชีวิตพอเพียง : กลอนคติสอนใจ



ชีวิตพอเพียง : กลอนคติสอนใจ

    ข้างพง ดงไผ่................กระจัด กระจาย ใบ(แห้ง)หล่น
ร่มรื่น ชื่นมน......................เยี่ยมยล ชนบท สดใส
สวนครัว รั้วบ้าน..................สรรหา อาหาร ทันใจ
พ่อ-แม่-ลูกไก่....................ขวักไขว่ คุ้ยดิน กินแมลง

    มีบ่อ เลี้ยงปลา...............ไม่ต้อง ซื้อหา จากตลาด
บริสุทธิ์ สะอาด...................ปราศจาก (สาร)เคมี กายีแกร่ง
ทำนา ธาตรี.......................อินทรีย์ กสิกรรม สำแดง
คืนความ แข็งแรง................ให้แหล่ง กำเนิด เกิด-(หา)กิน

    ไม่ต้อง พึ่งพา.................บรรดา สินค้า ทันสมัย
สมาร์ทโฟน ไว-ไฟ...............หาจำ เป็นไม่ ใดสิ้น
ของใช้ ไฮเทค....................อเนก อนันต์ บันเทิงจินต์
ฟุ่มเฟือย ทรัพย์สิน...............ทำลาย ท้องถิ่น วิญญาณ

    มีภูมิ ปัญญา...................จึงจะ สามารถ เข้าใจ
เป็นอยู่ อย่างไร...................มิให้ ไร้สุข อุคศานติ์(อุค=ยิ่งใหญ่)
ของไม่ จำเป็น.....................อย่าเฟ้น อยากหา สามานย์
ชีวี บริบาล..........................ด้วยการ อยู่อย่าง พอเพียง

    ละโมบ โลภมาก..............จักพราก สันติ วิถี
อยากมั่ง อยากมี..................อยู่ดี กินดี ชีวีเบี่ยง
อยากเลิศ เฉิดฉาย...............จะกลาย ยากจน ดลเอียง
หนี้สิน ถวิลเสี่ยง..................ไม่เที่ยง ไม่แท้ แน่นอน

    อย่าเป็น คนที่..................มีหนี้ มีสิน ท่วมหัว
เพียงเพราะ เมามัว................ทำตัว เกินตน ยลย้อน
อย่าเลียน แบบเขา................อย่าเบา ปัญญา อาวรณ์
หาเรื่อง เดือดร้อน.................กัดกร่อน ฤดี ปรีดา ฯ

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กุหลาบน้อยกับรอยด่าง : กลอนวันวาเลนไทน์



กุหลาบน้อยกับรอยด่าง : กลอนวันวาเลนไทน์

    วาเลนไทน์ ใกล้วัน พากันวุ่น.............เฝ้าคิดครุ่น รักใคร่ ใฝ่สนอง
ดอกกุหลาบ สรรพสรร ของขวัญมอง.......เรียงรายนอง ท้องตลาด ฉูดฉาดตา

    ดูวัยรุ่น วุ่นวาย กว่าใครอื่น.................ดวงใจตื่น ดื่นดาษ แรงปรารถนา
ตามกระแส นิยม โหมโลกา....................ขาดปัญญา สติ ดำริกราย

    หากทำให้ ชีวี มีรอยด่าง...................จะไม่ต่าง มลทิน มิสิ้นหาย
เหมือนกุหลาบ มีรอย พร้อยด่างลาย........ถูกแหนงหน่าย ทิ้งขวาง ช่างราคี

    ความรักยิ่ง จริงแท้ ไม่แปรเปลี่ยน.......ความฉ้อฉล วนเวียน เนียนไม่หนี
อารมณ์ใคร่ ไม่พราก จากโลกีย์ .............จึงต้องมี ปรีชา ปัญญาเชาว์

    ความผิดพลาด บางอย่าง ช่างเรื่องเล็ก....ยิ่งยามเด็ก ผิดบ่อย คล้อยความเขลา
ความเจ็บปวด ลางที มีบางเบา................โดยที่เรา ก้าวผิด หลงทิศทาง

    แต่ชีวิต ผิดพลาด บาดแผลใหญ่.........มักทำให้ ได้เห็น เช่นรอยด่าง
เกิดแผลเป็น เด่นชัด ไม่อาจจาง.............แม้เพียรล้าง อย่างไร มิไร้รอย

    ที่ติดทัศน์ คือบาดแผล แส่ราคิน.........มักโชยกลิ่น เหม็นไกล มิใช่น้อย
คนรังเกียจ เดียดฉันท์ คิดหมั่นคอย.........คุ้ยเขี่ยแคะ บ่อยๆ ให้น้อยใจ

    จึงมิควร มักง่าย ในความรัก...............ต้องรู้จัก จรรยา อัชฌาศัย
อย่าอ่อนโอน ปรนแปร ตามแต่ใจ............จึงจะไร้ รอยด่าง กระจ่างเอย ฯ

๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

ภาพเดิม เปรียบเทียบกับ ภาพหลังการใช้ Photoshop โดยผู้เขียน

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ชีวิตคือละคร: โคลงสี่สุภาพ



ชีวิตคือละคร: โคลงสี่สุภาพ

. กลางวันเวียนขยับเยื้อง.................ยาวนาน
อาทิตย์อัศดงดาล...........................เคลื่อนคล้อย
คือรอยต่อฤดูกาล...........................บรรจบ
หนาวค่อยหลบทีละน้อย...................ส่วนร้อนคืบคลาน ฯ

. ลนลานกระเล็นร้อง......................ไวๆ
เสมือนตระหนกตกใจ.......................ตื่นเต้น
กลาง(ต้น)ตะขบดื่นใบ......................ผลแก่
แลหาหลบตาเร้น.............................แต่เพี้ยงเสียงผริต ฯ(ผริต=แผ่ไป)

. อาทิตย์ยังคงขึ้น...........................ตรงเวลา
อายุคนจลชรา.................................ยากรั้ง
สอดรับกับชะตา...............................ปรากฏ
บทเวร(กรรม)เป็นอยู่ยั้ง.....................เฉกคล้ายการละคร ฯ

. บางตอนดูเริงรื้น...........................ดำรง
บางตอนทุกข์ยากยง.........................ยิ่งแล้
ตรึงไตรใจประจง..............................ยึดติด(ไตร=ไกร)
ชีวิตคือตนแท้..................................คิดล้ำคำนึง ฯ

. จึงจำหนับจับจ้อง..........................ปรารถนา(จำหนับ=จับไว้แน่น)
ตอบสนองตรองอุรา..........................ขับข้อง
สรรพสิ่งแสวงหา..............................หวงเก็บ
เสพสุขสนุกต้อง...............................รักษ์ไว้แต่ตน ฯ

. จนจำเนียนจิตกล้า.........................สาไถย
เบียดเบียนใครต่อใคร........................ชั่วช้า
มาดมั่นมิหวั่นไหว.............................ทุจริต
เห็นผิดเป็นคุณ ; หน้า.......................ตาส้องผ่องใส ฯ

. ในเมื่อฉากสุดท้าย........................มาถึง
ร่างกายไม่อาจ รึง.............................อยู่ได้
ทุกสิ่งพรากจากพึง............................ยุติ
ชีวีที่ลับไร้.......................................สอดคล้องการละคร ฯ

๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ชีวีที่น่าเคารพ : กลอนแปด



ชีวีที่น่าเคารพ : กลอนแปด

    ดอกลำดวน ชวนดม ชมชื่นจิต.................ดูกระจ้อย น้อยนิด (แต่)น่าพิสมัย
กลีบ(สี)เหลืองอ่อน ซ่อนเล่ห์ เสน่ห์ใน..........คงเอกลักษณ์ ดอกไม้ ไร้คล้ายคลึง

    เดือนกุมภาฯ หน้านี้ เริ่มมีดอก.................บ้างผลิบาน ปานหยอก หมอกงามซึ้ง
บางดอกดก บ้างไร้ ให้คะนึง........................หวนคิดถึง วิจิตร ชีวิตคน

     บ้างก็มี มาก ล้น ท้นทรัพย์สิน.................ใช้จ่ายชิน ชาติหน้า หาขัดสน
วันคืนเฝ้า เอาแต่ แค่สาละวน.......................สนอง(ความ)อยาก ของตน จลจิตจำ

    บางคน(หวัง)แค่ มีกิน พอสิ้นวัน...............ยังลำบาก ยากบั่น ปัญหาย้ำ
อุปสรรค หนักหนา ถาโถมทำ......................ต้องตรากตรำ กำสรด รันทดมี

    หากไม่เอา เงินตรา มากำหนด.................ไม่ใส่ใจ ในยศ-เกียรติ-ศักดิ์ศรี
จะยากจน/คนอยู่ ดีกินดี..............................หาได้มี (ความ)ประเสริฐ เลิศกว่ากัน

    สิ่งที่ทำ ให้คน ยลแตกต่าง......................มีคุณค่า สะอาง คือ(การ)สร้างสรรค์
ทำสิ่งที่ เป็นคุณ กูลเกื้อปัน..........................พลีแด่หล้า สาธารณ์ สันติ์สุขใจ

    ไม่ก่อกรรม ทำเข็ญ เว้นทุจริต...................ไม่ทำผิด จริยา อดิศัย
ไม่ทำตัว ชั่วช้า สามานย์ไตร.........................ยากจักหา ผู้ใด ไหนเปรียบปาน(ไตร=ไกร)

    เป็นชีวี มีค่า น่าเคารพ.............................ส่งเสริมพบ สุคติ พิษฐาน
จักพ้นจาก ยากจน ดลบันดาล.......................อยู่ทุกเมื่อ เชื่อวาร นิรันดร ฯ

๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘