ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559

สอนลูกเรื่องเงิน



สอนลูกเรื่องเงิน
(ผู้เขียนไม่ได้เชี่ยวชาญ เพียงแค่เสนอแนวคิดด้านการเงินที่ได้จากประสบการณ์ ตัวเลขต่างๆเป็นเพียงประมาณการ)

ลูกรัก

    ลูกรู้หรือไม่ว่า
ข้าวเปลือกจากการหว่าน 1 เมล็ด ปลูกไป 3-4 เดือน จะแตกเป็น 4-5 ตัน/1 กอ
เมื่อออกรวง จะให้เมล็ดข้าว ประมาณ 400 เมล็ด/1 กอ
แต่ถ้าใช้วิธีปักดำ จะแตกกอเป็น 15-20 ต้น ให้เมล็ดข้าวประมาณ 2,000 เมล็ด/ 1 กอ

    แล้วรู้ไหมว่า
มะม่วงเมื่อปลูกด้วยเมล็ด 1 เมล็ด จะงอกเป็นต้นมะม่วง 1 ต้น
ใช้เวลา 6 ปีจะให้ผลประมาณ 300-400 ลูก/1 ต้น ทุกปี

*แต่คนจะปลูกข้าวหรือมะม่วง มีแค่เมล็ดยังไม่พอ จะต้องมีที่ดิน มีเงินทุน มีความรู้ ฯลฯ

    ถ้าลูกมี(แค่)เงิน
การเก็บไว้ที่บ้านเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่ควรมีมากเกินไป
เพราะนอกจากเงินจะไม่เพิ่มขึ้น ยังสูญหายได้อีกด้วย
การนำเงินที่ยังไม่ใช้ไปฝากธนาคาร เป็นสิ่งที่ควรทำให้เป็นนิสัย
เงินที่ฝากไว้เพื่อสำรองใช้ ควรฝากในบัญชีประเภทออมทรัพย์
ส่วนเงินที่ยังไม่ใช้ในเร็วๆนี้ ควรฝากประจำแบบ 3-6-12-24-36 เดือน ตามสถานการณ์เงินของเรา เพราะจะได้รับดอกเบี้ยตอบแทนมากกว่ากันตามลำดับ

    บัตรอิเล็กโทรนิกส์ทั้งหลาย ควรเปิดบัญชีแยกไว้ต่างหากและอย่ามีเงินคงเหลือมากเกินจำเป็น
เพราะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย
ถูกโจรกรรมได้ง่ายกว่าใช้สมุดบัญชีในการทำธุรกรรม

    เงินฝากประจำทุกวันนี้(ยุคเงินฝืด) ดอกเบี้ยได้ประมาณ 1.6 % ต่อปี
ถึงจะน้อยแต่เงินก็ยังเพิ่มขึ้นตามระยะเวลา
แต่ในยุคเงินเฟ้อ-เศรษฐกิจดี
ดอกเบี้ยเงินฝากที่จะได้รับ อาจสูงถึง 7-10 % ต่อปี เลยทีเดียว

     แต่ถ้าลูกเอาเงินไปซื้อของใช้ เงินของลูกจะลดลงไปตามราคาสินค้า
ของใช้ที่จำเป็น ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น-ทุ่นเวลามากขึ้น
แต่ถ้าลูกใช้เงินซื้อของฟุ่มเฟือย ของที่ไม่ต้องมีก็ได้
เงินก็จะลดลงแบบไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ
นอกจากความพอใจที่ได้ของนั้นมาครอบครอง
มิหนำซ้ำ ของนั้นอาจทำให้ลูกเสียเวลาของชีวิตไป
เมื่อใช้มันในการทำสิ่งไร้สาระ 

    ธุรกิจมากมายต้องการขายของมากๆ จึงขายแบบเงินผ่อนด้วย
ราคาสินค้าเงินผ่อน จะบวกดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายเผื่อทวงหนี้เอาไว้
ทำให้สินค้ามีราคาสูงกว่าการซื้อด้วยเงินสด 20-30-40-50 % ฯลฯ แล้วแต่ธุรกิจ-สินค้านั้นๆ
สินค้าที่โฆษณาว่า ดอกเบี้ย 0
% ก็เพื่อล่อใจให้คนไม่มีเงินไปผ่อนซื้อ
อย่างไรเสีย สินค้านั้นจะมีราคาต่ำกว่าอยู่ดี ถ้าซื้อด้วยเงินสด

    ธนาคารเอาเงินที่เราฝากไปปล่อยกู้ให้คนกู้ไปทำธุรกิจ หรืออาจเอาไปลงทุนในธุรกิจเอง
การปล่อยกู้ที่ใกล้ตัวคนทั่วไปมากที่สุดก็คือ การใช้เงินด้วยบัตรเครดิต
การใช้บัตรเครดิต ก็คือการกู้เงินจากธนาคารโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ดอกเบี้ยจะสูง 10-25 % ตามลักษณะการชำระเงินของเรา

    ถ้าซื้อสินค้าเงินผ่อนหรือซื้อด้วยเงินบัตรเครดิต แล้วเสียดอกเบี้ย
เท่ากับซื้อของแพงขึ้น ตามดอกเบี้ยที่คิดเพิ่ม
เช่น ซื้อเงินสดราคา 100 บาท แต่ถ้าซื้อเงินผ่อน ราคาอาจเพิ่มเป็น 120-150 บาท

    การกู้เงินจะได้เงิน น้อยกว่าเงินที่ต้องชำระหนี้เงินกู้
เช่น กู้เงิน 100 บาท ดอกเบี้ย 10 %
จำนวนเงินสุทธิที่คนกู้จะได้รับคือ 90 บาท
ดอกเบี้ยเงินกู้ คือ เงินในส่วนที่ลดน้อยลงนั้น

    หากไม่จำเป็น-รีบเร่ง จึงไม่ควรซื้อสินค้าเงินผ่อน
หรือใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิต หรือกู้เงินใคร
หากไม่จำเป็นก็อย่าเป็นหนี้
เพราะเมื่อเป็นหนี้ ลูกจะต้องหาเงินมาชดใช้เงินต้น+ดอกเบี้ย
ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามสัญญาด้วย

    ไม่ต้องกล่าวถึงการเอาเงินไปเล่นการพนัน
พ่อรู้เรื่องการพนันน้อยมาก เพราะไม่เคยเล่นเลย
ขอยกตัวอย่าง เช่น
การแทงหวยใต้ดิน เลขท้าย 2 ตัว
ถ้าแทงถูก ลูกจะได้เงิน 70 บาท จากเงิน 1 บาท ที่แทง
แต่ความน่าจะเป็นของการแทงถูก เลขท้าย 2 ตัว
คือ 1 : 100
แต่โอกาสที่จะแทงผิดคือ 99 : 100
การแทงหวยใต้ดิน เลขท้าย 3 ตัว
ถ้าแทงถูก ลูกจะได้เงิน 500 บาท จากเงิน 1 บาท ที่แทง
แต่ความน่าจะเป็นของการแทงถูก เลขท้าย 3 ตัว
คือ 1 : 1,000
แต่โอกาสที่จะแทงผิดคือ 999 : 1,000
ไม่นับโอกาสที่แทงถูกแล้วเจ้ามือจะไม่จ่าย

    ส่วนหวยรัฐบาล 
โอกาสที่จะถูก รางวัลที่ 1 คือ 1 : 1 ล้าน
หรือพูดได้ว่า เงินซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล 1 ใบ 80- 120 บาทนั้น
แทบไม่มีโอกาสได้รับ รางวัลที่ 1 เลย
การถูกรางวัลที่ 1 จึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์

หวังว่าลูกจะเข้าใจเรื่องเงินมากกว่าเดิม
เห็นคุณค่าของเงินและรู้จักใช้เงินให้คุ้มค่า

ด้วยรักจากพ่อ

๗ สิงหาคม ๒๕๕๙

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น