ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560

ธรรมสถาน : กาพย์สุรางคนางค์๒๘



ธรรมสถาน : กาพย์สุรางคนางค์๒๘

๏    .........................................การ ป ฏิบัติธรรม
มิใช่ แค่กรรม...........................กระทำ ที่วัด
(ใน)วันพระ วันโกน...................โชกโชน กิจจัด
(แต่)จิตจ้าน สันทัด...................ตามสัญ ชาตญาณ

๏    ..........................................ศีลสัตย์ อัชฌา
เที่ยว อา ราธนา........................(ตาม)วัดวา สถาน
แล้วก็ สับปลับ..........................เมื่อกลับ ถึงบ้าน
สนอง สันดาน...........................ตัณหา ราคี

๏    ...........................................ศีลต้อง รักษา
ทุกวัน (ทุก)เวลา.......................อย่าได้ หน่ายหนี
ต้องไม่ ให้ขาด..........................องอาจ ฤดี
ต้องไม่ ให้มี..............................ด่างพร้อย รอยเพียน(เพียน=เพี้ยน)

๏    ............................................กาย-วาจา-ใจ
(คือ)แก่นสาร สถานให้.................เกลา-ขัด-ดัดเสถียร
อวิรุทธ์ ทุจริต.............................ผิดพลาด ปราดเปลี่ยน(อวิรุทธ์=ไม่ขัดข้อง)
กุศล วนเวียน.............................จำเนียน เจียรวาง(จำเนียน=ขลิบ,เจียร=ยืนนาน)

๏    ............................................เราอยู่ ที่ไหน
ธรรมะ สถานไซร้.........................เคียงใกล้ ไม่ห่าง
สุธีร์ ปฏิบัติ................................ปัจจัย ปลายทาง(ธีร-=ฉลาด)
มล สะสาง.................................ถากถาง ทำลาย(มล อ่าน มะละ=ความสกปรก)

๏    .............................................ทุกแห่ง ทุกหน
สุทธา กระมล.............................กุศล สยาย
ทุกที่ ทุกเวลา............................สัมมา มิคลาย
อย่ามัว แต่หมาย........................ใคร่(ึความหมาย)คับ แคบเลยฯ

๓๐ กันยายน ๒๕๖๐

วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560

คนประเสริฐ : กลอนเจ็ด



คนประเสริฐ : กลอนเจ็ด

    เสียงลม พายุ พัดหมู่ไม้.......................ฟังคล้าย ไร้ความ ลำเค็ญขืน
ฝนโปรย ปรายพร่ำ ยามค่ำคืน..................ชุ่มชื่น พิสุทธิ์ ดุษฎี

    กลิ่นอาย สายฝน ดลศานติ....................เมื่อมิ ประสงค์ หลงวิถี
ก้าวข้าม อำนาจ บาศโลกีย์......................ไม่มี ตัณหา มาผลักดัน

    ธรรมชาติ นาฏกรรม นำนิโรธ..................ประโยชน์ โปรดเย็น เป็นสุขสันติ์(นิโรธ=ไม่มีรส)
ความสงบ ระงับ ดับโลกธรรม์...................ชีวัน พลันอิ่ม ปริ่มเปรมใจ

    อนิจจัง พรั่งพรม บรมเกศ.......................รู้เหตุ รู้ผล กลเงื่อนไข
ความมี ความเร้น แลเป็นไป.....................เกิดใน โลกธาตุ สัจธรรม

    ความไม่ ยึดมั่น ไม่ถือมั่น.......................อัตตา มมังการ มานเลิศล้ำ
สุจริต คิดให้ ใคร่กระทำ..........................ทุจริต ผิดกล้ำ มิจำนน

    มิห่วง อาลัย ในชะตา............................ชีวา อนาคต ปรากฏผล
เมื่อเข้า ใจกฎ แห่งกรรมกล.....................ชั่ว-ดี มิพ้น ตนก่อเวร

    สัจจา ประจักษ์ เป็นหลักฐาน..................ความอยาก ทะยาน ทัณฑ์โทษเห็น
อนัตตา สลด หมดมี-เป็น........................ย่อมเร้น ระงับ ดับดิ้นรน

    กิเลส ตัณหา ตกตะกอน........................ไถ่ถอน ร้อนเศร้า เร่าโศกสน
สิริ พิสัย พรายกระมล.............................ของคน ล้นเลิศ ประเสริฐเอยฯ(พราย=แวววาว)

๒๙ กันยายน ๒๕๖๐

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

ร่วมอนุรักษ์ธรรมชาติ : กลอนสิ่งแวดล้อม



ร่วมอนุรักษ์ธรรมชาติ : กลอนสิ่งแวดล้อม

    ธรรมชาติ ปราศการ ปั้นแต่ง(ของคน)............เป็นแหล่ง แสง-สี พิสมัย
สะอาด สวยงาม อำไพ..................................เสมือนใน พิมาน พรรณนา

    ดินที่ มีไร้ ใครถู........................................ฝน-ลม พรมพรู สู่หา
กรวดที่ มีเพียง ธารา.....................................เกลาขัด ทัศนา ตราตรึง

    ป่าที่ พิไล ใครปลูก?...................................พันผูก ถูกวาง พรั่งรึ้ง
กิ่ง-ใบ ไขนำ คำนึง.......................................ผลิไสว ให้ซึ้ง บึ้งทรวง

    ภูผา หามี ใครก่อ.......................................ถ่อทะยาน ชันชู ลุล่วง
เสียดฟ้า ท้าฝน ทนปวง.................................พายุ ทะลุห้วง นิรันดร์

    นภดล ผลศรี วิจิตร.....................................สุระ นิรมิต ฤทธิสรรค์
ฉาบทา เมฆินทร์ ทินครัน...............................อรวรรณ ผันมี พิมล

    สายลม โหมไล้ ให้อากาศ............................สะอาด บริสุทธิ์ อุตดมผล(อุตดม=เลิศ)
เพราะพราก จากน้ำ มือคน.............................จึงพ้น พิษร่ำ ทำลาย

    ธรรมชาติ ขัดข้อง ต้องเฉา............................เพราะเรา เข้ามา ก้าวก่าย
(ธรรมชาติ)แทบทั้ง โลกา จะตาย....................สูญหาย เพราะภาวะ โลกร้อน

    มีใคร ใจสู้ อนุรักษ์?.....................................พิทักษ์ ธรรมชาติ เสียก่อน
ที่จะ ถูกผลาญ ราญรอน................................เดือดร้อน ย้อนผล คนคืนฯ

๒๘ กันยายน ๒๕๖๐

*นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 6 จะเกิดขึ้นภายในปี 2100
ในรายงานใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances
นักธรณีฟิสิกส์ Daniel Rothman พรรณนาให้เห็นว่า
อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงขึ้นจะนำไปสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 6 ภายในปี 2100
นับตั้งแต่อดีตมีการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่มาแล้ว 5 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในยุครีเตเชียส เมื่อ 65 ล้านปีก่อน
ซึ่งคร่าชีวิตของไดโนเสาร์ไปเกือบทั้งหมดและสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นๆ อีกถึง 75%

วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560

ปัญหาพระนอกคอก : กาพย์ยานี๑๑



ปัญหาพระนอกคอก : กาพย์ยานี๑๑

    เป็นพระ เพียงผ้าเหลือง.......................กระด้างกระเดื่อง ต่อคำสอน
(ของ)ศาสดา มิอาทร............................กิน-นั่ง-นอน-เล่น-สุขสบาย

    ความคิด คด-มิจฉา.............................เปี่ยมตัณหา อยากกระหาย
ทรัพย์-ยศ-ตำแหน่งหมาย......................เป็นเจ้าคน นายเหนือคน

    กิเลศ ท่วมเกศเกล้า.............................มัวโง่เขลา เมาอกุศล
โลกีย์ วิถีชน........................................ครองตนเช่น เดนอลัชชี

    งมงาย ไสยศาสตร์...............................ทำอุบาทว์ กรรมบัดสี
ข้อวัตร ศาสนพิธี...................................มีแต่กิจ อวิชชา

    กาย-ใจ ไม่ใช่พระ................................เป็นภาระ ต่อศาสนา(พุทธ)
สร้างภาพ อุจาดตา................................ต่อบรรดา ศรัทธาไท

    ชอบวาง อำนาจเขื่อง............................นักการเมือง เฟื่องรับใช้
อิทธิพล สิ่งสนใจ...................................ไม่ฝึกหัด ดัดฤดี

    นอกคอก นอกลู่ทาง..............................(ทำเป็น)นักเลงกร่าง ย่างวิถี
สมัคร พรรคพวกพี..................................มีสมุน หนุนอันธพาล

    ขายค้า ยาเสพย์ติด................................กฎหมายผิด กิจทรามหาญ
(คือ)ปัญหา สถานการณ์...........................ในบ้านเรา น่าเศร้าเอยฯ

๒๗ กันยายน ๒๕๖๐

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560

ความจริงของชีวิต : กาพย์ฉบัง๑๖



ความจริงของชีวิต : กาพย์ฉบัง๑๖

๏    โลกนี้มีภัยสารพัด....................จากคนและสัตว์
อุบัติเหตุ-เภทภัยธรรมชาติฯลฯ

๏    ปรากฏทั่วไปไม่ขาด..................ระวังพลั้งพลาด
ประมาท->ชีวินสิ้นสลาย

๏    ทางออกคือต้องสู้อย่าดูดาย...............จิตจูงมุ่งหมาย
มิคลายซึ่งความกล้าหาญ

๏    หาความรู้คู่ดวงมาน..................สังเกตเหตุการณ์
คิดอ่าน-วิเคราะห์-เสาะสม

๏    ใครมีความรู้อุดม..................ขาดความโง่งม
ย่อม รมณีย์ ในชีวา

๏    พากเพียรบ่หยุดอุตสาห์...................อดทน=มนตรา
นำพาข้ามพ้นทุกข์หนทาง

๏    สุจริตจิตแจงแสงสว่าง.................ส่องไปไกล-กว้าง(แจง=ขยาย)
สืบย่างก้าวหน้าอยู่เสมอ

๏    ผู้ตั้งใจไม่เผอเรอ..................จะประสบพบเจอ
ศุภผลล้นเอ่ออุรา

๏    คนใดใคร่แต่คอยวาสนา..................หวังพึ่งดินฟ้า
ฤทธาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

๏    ติดกับ(ดัก)อับจนข้นคิด.................วิถีชีวิต
วิกฤติวิการพานภัย(วิการ=พิการ)

๏    คือความจริงอิงปัจจัย..................ชีวิตชิดใกล้
ครวญใคร่ให้ดีธีระเทอญฯ

๒๖ กันยายน ๒๕๖๐

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

ความเข้มแข็ง-อ่อนแอ : กลอนเจ็ด



ความเข้มแข็ง-อ่อนแอ : กลอนเจ็ด

    อวัยวะ ส่วนใด มิใช้งาน........................ย่อมพาน อ่อนแอ แลลีบเล็ก
(จึง)ควรออก กำลัง(กาย) ตั้งแต่เด็ก..........สิเสก สรรค์ให้ กายเข้มแข็ง

    เล่นกีฬา ประจำ จิทำให้........................กาย-ใจ แกร่งเชี่ยว มีเรี่ยวแรง
ดำเนิน ชีวัน ต้องขันแข่ง.........................ยื้อแย่ง ประโยชน์ โปรดตรองดู

    ร่างกาย อ่อนแอ ย่อมแพ้พ่าย.................เชื้อร้าย โรคา เข้ามาสู่
จิตใจ อ่อนแอ แลเยี่ยงผู้.........................เขลาขลาด มิอาจสู้ โลกาภัย

    อ่อนโยน มนไม่ ใช่อ่อนแอ.....................หากแต่ เข้มแข็ง แกร่งทนไหว
(คนที่)เมตตา ปราณี พลีแผ่ไป.................จิตใจ ต้องตั้ง มั่น-บริบูรณ์

    เข้มแข็ง มิใช่ ความร้ายโฉด....................อดกลั้น มานโหด(ร้าย) จนหมดสูญ
มิเบียน บีฑา สร้างอาดูร..........................เพิ่มพูน จุนค้ำ กำลังใจ

    คนเห็น แก่ได้=ใจแคบคับ......................(ต่อให้)ล้นทรัพย์ ศฤงคาร ลานหลั่งไหล
มิเอื้อ เผื่อแผ่ แด่ผู้ใด.............................(ย่อมเป็นผู้)มีใจ ลีบ-น้อย พร้อยด่างดำ

    คนแบ่ง ปันได้ ใจต้องกล้า......................มนา เข้มแข็ง แกร่งเลิศล้ำ
ทำสิ่ง ที่คน(ทั่วไป) ยากดลกรรม...............มโนธรรม งาม-สูง รุ่งโอฬาร

    ช่วยเหลือ ผู้อื่น พ้นขื่นเข็ญ.....................(จึง)นับเป็น (ผู้)ยิ่งใหญ่ ใจอาจหาญ
เอาแต่ ตัวรอด ปลอดให้-ทาน...................เป็นมาน อ่อนแอ ต่ำแท้เอยฯ

๒๕ กันยายน ๒๕๖๐

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

กุศลผลกรรม : กลอนจรรโลงใจ



กุศลผลกรรม : กลอนจรรโลงใจ

    เมื่อมี จิตใจ มุ่งมั่น..............................สู่ทิศ ทางอัน เป็นกุศล
อุปสรรค อุตสา หะผจญ.........................กระมล ตั้งตรง จงจินต์

    พินิจ พิจารณ์ ปัญหา...........................พิเคราะห์ เพาะประภา ถวิล
มีสติ ระลึก ไม่สิ้น..................................ทุ่มเท ชีวิน จินดา

    แม้ไม่ มีกรรม ตามกลบ........................ย่อมพบ พิลาส วาสนา
พากเพียร เจียนดัด อัตตา.......................บันดาล ปัญญา ประไพ

    (ทรง)ศีลธรรม งาม-ง่าย ไม่ติดขัด...........โสมนัส อัชฌา ไสว
พิสุทธิ์ ผุดผ่อง รองไร.............................สดใส ในจิต พิสดาร

    ราคะ ละลด ปลดเปลื้อง........................ประเทือง เป็นสุข ปลุกศานติ์
โทสะ ขจัดไคล ไร้รำคาญ........................สำราญ มานรื่น มื่นเย็น(มื่น=ชื่นบาน)

    โมหะ พยศ หมดสิ้น..............................ประทิน จินดา จรูญเห็น(จรูญ=รุ่งเรือง)
มโนธรรม นำพา มาเป็น...........................เครื่องเค้น ทรามปอก ลอกไป

    เมื่อจริต แจ่มใส สะอาด.........................โลกธาตุ รัถยา อาศัย
                                                            (จริต=กิริยาอาการ,โลกธาตุ=แผ่นดิน,รัถยา=ทางเดิน)
อยู่เย็น เป็นสุข สบายใจ...........................มิทำ ให้ใคร ทุกข์ตรม

    เมื่อกุศล มนมาน สานส่ง........................ศีลธรรม ดำรง ทรงสม
สิริ ชีวา อภิรมย์......................................อุดม ยมโลก โชคดีฯ(ยมโลก=โลกของคนตาย)

๒๔ กันยายน ๒๕๖๐

วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

ความจริงของโลก : กลอนเปล่า




ความจริงของโลก : กลอนเปล่า

    ธรณี....มีอายุยืนยาว
ส่วนชีวิตคนเรา....อายุสั้น
เพียงไม่กี่ปี ก็มีอัน
มรณาจาบัลย์ สิ้นสัญญี

    ธรณี....มีความมั่นคง
ส่วนจิตใจสัตว์ไหลหลง พะวงกับการสร้างความกระหาย
คำนึงถึง แต่อัตตา
มินำพา ว่าบั้นปลาย
วันหนึ่ง พึงต้องตาย
ไม่มีอะไร เอาไปได้เลย

    เบียดเบียนกันและกัน ปานปกติ
ไม่มีมโนสำนึก ตรองตรึกเห็น
อยู่ร่วมกันอย่างไร ให้ร่มเย็น
ความเคียดแค้นเคืองเข็ญ เช่นเรื่องธรรมดา

    สัตว์ทั้งหลาย ต่างฝ่ายต่างเป็นศัตรู
อันตรายหลั่งพรั่งพรู
แย่งชิง-ต่อสู้ อยู่เสมอ
แต่คนเราแตกต่าง
ค่อนข้างร้างสัตว์ศัตรู
คนกับคน วนเวียนสู่
ความเป็นศัตรูผู้อันตราย

    ทักษะการหลอกลวง
เกิดมาพร้อมดวงกมลคนส่วนใหญ่
เล่ห์ฉล กลอุบาย
มีมากมายนับไม่ถ้วน
คนคือสัตว์สังคม
แต่เป็นสังคม ที่อุดมความฉลเฉเพทุบาย
หลากล้นคนกมลร้าย
มุ่งทำลายซึ่งกันและกัน

    เป้าหมายของชีวี
ตั้งอยู่บนโลกียวิสัย
ทุ่มเทความคิด-จิตใจ
ทำทุกอย่างให้ได้ดั่งใจประสงค์
หลักการของความดี
มักไม่มีความเที่ยงตรง
ในหัวใจของผู้ไม่จำนง
ธำรงไว้ซึ่งศีลธรรม

    จงเอาความถูกต้องนำหน้า
ทิ้งอัตตาไว้เบื้องหลัง
ถือศีลธรรมเป็นกำบัง
ความหวังคือพลังพรั่งกายใจ
ชีวีนี้แสนสั้น
คืนวันอย่าเมามันฝันใฝ่
ทำแต่เรื่องเหลวไหล
ไร้สาระ ไร้ค่าคุณ

    ธรณีนี้จะยังคงอยู่ต่อไป
หลังจากคนบรรลัพันธุ์วายสูญ
วัฏจักรของจักรวาล
เกิด-ดับ ไปกับกาล ยาวนาน อสงไขย
ในความไร้ขอบเขตที่มืดมิด
มีชีวิตอยู่เท่าไร?
มีความสำคัญอันใด?
ต่อความเป็นไปในจักรวาลฯ

๒๓ กันยายน ๒๕๖๐

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560

เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส : กลอนหก



เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส : กลอนหก

    อุปสรรคที่ มิหย่อนหยุด.......................คือบทพิสูจน์ ความอุตสาห์
ของตนเยี่ยง เพียง(คน)ธรรมดา...............หรือปรีชา มหรรฆชน(มหรรฆ=มีค่ามาก)

    วิถีโลก โศก-เถื่อน-ทุกข์.......................ปรีดิ์เปรม-สุขฯลฯ คลุกเคล้าสน
มีมิตรภาพ ปลาบปลื้มมน........................และมีคน ล้นอันธพาล

    ทยอยมา ท้าประสพ.............................ผลบวก-ลบ พบผสาน(ประสพ=การเกิดผล)
เป็นบ่อเกิด ความทรมาน........................แลบันดาล ศานติมี

    บททดสอบ ความเข้มแข็ง.....................จิตใจแกร่ง แปลงวสี(วสี=ผู้ชำนะตน)
ประสบการณ์ ผ่านชีวี.............................มองให้ดี มีค่าคุณ

    เพียรฝึกฝน ผลประสิทธิ์........................สู้วิกฤติ พิชญะหนุน(พิชญ์=นักปราชญ์)
ความอดทน คือต้นทุน............................สร้างสมดุล ทางอารมณ์

    เรียนรู้ผ่าน (การ)แก้ปัญหา.....................เพิ่มปัญญา พูนสะสม
ปลุกสำนึก ตรึกวิกรม..............................ควรนิยม ชมชื่นจินต์(วิกรม=ก้าวล่วงไปด้วยความกล้าหาญ)

    เปลี่ยนวิกฤติ เป็นโอกาส........................เพิ่ม(ความ)สามารถ พัฒน์ถวิล
พลอยดำเนิน เพลินชีวิน..........................จวบจนสิ้น วิญญาณไป

    ทั้ง(ด้าน)บวก-ลบ ทบทวนคิด..................จะเนรมิต จิตไสว
ทุกอย่างดู เป็นครูได้...............................ย่อมทำให้ ผ่อนคลายเอยฯ

๒๒ กันยายน ๒๕๖๐

วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2560

ความสมหวัง : กลอนคติสอนใจ




เส้นทางสู่ความสมหวัง : กลอนคติสอนใจ

    ความสมหวัง......................................มาจากทั้ง โชคดี และฝีมือ
แม้นว่า หมั่นตรึก ฝึกปรือ........................ไม่ถือ ว่ายาก หากอยากหวัง
มุ่งมั่น ต่อความ สำเร็จ............................เป็น ปฐมเหตุ แห่งพลัง
พยายามไป ไม่หยุดยั้ง...........................เช่นคลื่น ซัด(เข้าหา)ฝั่ง สม่ำเสมอ

    ความหวัง..........................................ที่ไม่ ตั้งใจ-ทุ่มเท สร้าง-สรร(สรร=หา)
แตกต่าง อะไรกัน..................................กับความ ฝันอัน เพ้อเจ้อ
หวังสิ่ง ที่เป็น ไปได้...............................มิใช่ ตามใจ ใคร่ละเมอ
ใช้ปัญญา อย่าล่าเล่อ.............................หาให้เจอ ทางที่ มี-ไปถึง

    ประสิทธิภาพ สู่ประสิทธิผล....................ขยัน-อดทน-ดั้นด้นเถิด
กุศลกรรม์ อันประเสริฐ............................คุณธรรม ล้ำเลิศ ควรคำนึง
วิธีการ อันมักง่าย...................................ทุจริต ชั่วร้าย อย่าใคร่รึ้ง
ประสบปัญหา อย่า(เอาแต่)รำพึง...............ไม่ดื้อดึง เมื่อล้มเหลว-พลาดหวัง

    ยอมรับ กับโชค ชะตา............................บุญญา บารมี ที่สร้างไว้
ไม่มีการ เอาอก เอาใจ.............................ไม่มีใคร คอยสดับ รับฟัง
เมื่อผิดหวัง ต้องยับยั้งจิต..........................อย่าคิด ครุ่นพาล ดันทุรัง
โอกาสดี ยังมีหวัง....................................รอผู้ที่ มิหมดหวัง-พลังใจฯ

๒๑ กันยายน ๒๕๖๐

วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

เปลี่ยนชีวิต : โคลงสี่สุภาพ



เปลี่ยนชีวิต : โคลงสี่สุภาพ

๑.เด็กเกิดมาบ่รู้.................................ศีลธรรม
สัญชาตญาณบัญชากรรม.................ก่อ-สร้าง
ความเห็นแก่ตัวนำ..........................ถนัด
สารพัดสิ่งสนใจอ้าง.........................สืบล้วนโลกีย์ฯ

๒.ศีลธรรมที่ว่างไร้..............................อุรา
จริยธรรมมินำพา.............................แนบเกล้า
ต่างอะไรกับประดา..........................สัตว์ป่า
ดิรัจฉานสันดานเร้า..........................รัดรึ้งฤทัยฯ

๓.ใคร่เบียดเบียนอื่นผู้..........................ประหัตประหาร
ลัก-ชิงฯลฯทรัพย์ศฤงคาร..................หวงไว้
ประพฤติผิด(ทาง)เพศพาล................กำหนัด
ปราศสัตย์ซื่อตรงไซร้.......................ปองร้ายหลอกลวงฯ

๔.(การ)ศึกษาพาล่วงรู้..........................สัจจา
การพินิจพิจารณา............................ถูกต้อง
ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี ศรัทธา.....................สอดส่อง
กุศลครรลองข้อง.............................สอดคล้องยึดถือฯ

๕.คือหนทางเริ่มต้น..............................เปลี่ยนแปลง
ความคิดจิตใจแจง...........................ผ่องแพร้ว(แจง=ขยาย)
กุศลกรรมเกริกสำแดง.......................ประสิทธิ์
เปลี่ยนแปลงชีวิตแคล้ว.....................ชั่วช้าสามานย์ฯ

๖.ชัชวาลวิถีเกื้อ...................................สุจริต
จริยธรรมประจำจิต............................กรรมจ้อง
มีสติมิทำผิด....................................ประมาท
ปรารถนากุศลป้อง.............................แซ่ซ้องศีลธรรมฯ

๗.ความดีมีผลให้..................................ชีวิต
งดงาม-สะอาด-วิจิตร..........................เลิศล้ำ
กุศลคำรณทิศ...................................สบสว่าง
ถากถางมลทินย้ำ...............................ยิ่งยั้งยืนยงฯ

๒๐ กันยายน ๒๕๖๐

วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

ความดีมีค่า : กาพย์สุรางคนางค์๒๘



ความดีมีค่า : กาพย์สุรางคนางค์๒๘

๏    .........................................ผีเสื้อ หลากสี
ทำให้ โลกนี้...........................มีความ สดใส
ปีกกว้าง บางเฉียบ...................เปรียบภาพ พิไล
ประดับ ปรับให้........................พงไพร สวยงาม

๏    .........................................บินโบก สะบัด
เสรี ปิยพัทธ์...........................ทัศนา อร่าม(ปิยพัทธ์=ปิยะ+พัทธ์)
ชีวี พิมล................................พ้นสิ่ง เลวทราม
ทุกเมื่อ เชื่อยาม......................สง่าราม ธำรง(ราม=งาม)

๏    .........................................คนดี ทั้งหลาย
ผีเสื้อ เคื้อคล้าย.......................มิวาย ประสงค์
ก่อกรรม ทำดี..........................ศีลธรรม์ มั่นคง
สัตย์ซื่อ ถือตรง........................ยรรยง อุรา(ยรรยง=กล้าหาญ)

๏    .........................................ทำให้ โลกนี้
อัศจรรย์ สันติ์ศรี.......................พิสุทธ์ อุตส่าห์
จิตใจ ใสสะอาด.......................ปราศจาก มารยา
โสมนัส ศรัทธา........................คุณค่า ความดี

๏    ..........................................ความดี หายาก
ในหมู่ ผู้มาก............................กิเลส เศษศรี
คนเห็น แก่ตัว..........................โฉดชั่ว ราคี
กรรมสรรพ อัปรีย์......................บีฑา บ่าเวร

๏    ...........................................คนดี มีค่า
(โดย)ไม่ต้อง ถือสา...................ว่าใคร ไม่เห็น
ผู้มี ศีลธรรม.............................มิก่อกรรม ลำเค็ญ
ย่อมอยู่ ร่มเย็น..........................เป็นสุข นิรันดร์ฯ

๑๙ กันยายน ๒๕๖๐

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

เด็กคือผ้าขาว : กาพย์ยานี๑๑



เด็กคือผ้าขาว : กาพย์ยานี๑๑

    เด็กไม่ รู้หรอกว่า..........................คนเกิดมา ต้องอาศัย
(ความ)สามารถ เป็นปัจจัย................ในการทำ มาหากิน

    เริงเร่า เอาแต่เล่น.........................ไม่ว่างเว้น เร้นถวิล
เล่นซน จนลืมกิน............................เรี่ยวแรงสิ้น (ค่อย)ล้มตัวนอน

    ผู้ใหญ่ ต้องถ่ายทอด......................หลัก(การ)อยู่รอด สอดสั่งสอน
พัฒนา ปัญญาธร............................การผัดผ่อน รอนเภทภัย(ธร=ผู้ทรงไว้)

    ศีลธรรม คุณความดี.......................คือวิถี ที่ต้องให้
ถ่ายทอด แต่เยาว์วัย........................ใจยังขาว ราวพัสตรา(พัสตร์=ผ้า)

    ยึดถือ ความซื้อสัตย์.......................ปฏิบัติ ให้เห็นว่า
คือคติ ของชีวา...............................ที่เกิดมา ต้องกระทำ

    งดงาม ความเสียสละ......................ใจเมตตา ประเสริฐล้ำ
รักดี มีมโนธรรม...............................รักษาคำ พูดดุษฎี(ดุษฎี=ความชื่นชม)

    สุรา ยาเสพย์ติด..............................อย่าใกล้ชิด ผิดวิถี
การพนัน มันไม่ดี..............................อย่าริเล่น เป็นโทษจริง

    ผ้าขาว พร้อมจะยับ..........................และซึมซับ รับทุกสิ่ง
อย่าให้ เด็กชายหญิง.........................เป็นเหมือนลิง สิงคีเลย(สิงคี=วัว,ควาย)

๑๘ กันยายน ๒๕๖๐

วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560

ความแตกต่างระหว่างคน : กลอนหก



ความแตกต่างระหว่างคน : กลอนหก

    ก้อนเมฆา แต่ละก้อน...................(รูป)ทรงซับซ้อน แตกต่างกัน
พิศให้ดี (ยัง)แผกสีสัน...................มิซ้ำสรรค์ อัศจรรย์เหลือ

    ใบพฤกษา แต่ละใบ.....................ร่วมกิ่งไม้ สายพันธุ์เครือ
เคียงข้างกัน ผันแผกเพรื่อ...............พบทุกเมื่อ เอื้อให้เห็น

    หลักธรรมชาติ ของสัจจา...............ประจักษ์ตา ว่าจริงเป็น
สรรพสิ่งสร้าง แตกต่างเช่น..............เป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตน

    เปรียบเสมือน กับชีวัน...................มนุษย์นั้น แผกผันล้น
แตกต่างไป ในบุคคล.....................ตั้งแต่ต้น จนจวบตาย

    แต่คุณค่า หาแตกต่าง...................หากสรรสร้าง อย่างขวนขวาย
ตั้งใจสู้ มิดูดาย..............................อย่าแพ้พ่าย ให้อธรรม

    มีเมตตา มาเผื่อแผ่........................ไม่เห็นแต่ แก่ตนพร่ำ
สำนึกชอบ-ชั่ว-ดี นำ........................กุศลกรรม ล้ำเลิศกล

    เหมือนเมฆา แต่ละก้อน...................บังแดดร้อน ป้อนน้ำฝน
เหมือนพฤกษา ใบสกล.....................สร้างสรรค์ผล ล้นโลกพันธ์

    สิ่งทั้งหลาย มิไร้ค่า.........................ก็เพราะว่า ประโยชน์สรรค์
ใช้ชีวา แต่ละวัน...............................อย่าหฤหรรษ์ ผลาญโลกเลยฯ

๑๗ กันยายน ๒๕๖๐

วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560

ทางเลือก : กลอนคติชีวิต




ทางเลือก : กลอนคติชีวิต

    พายุใหญ่ ไต้ฝุ่น หมุนลม-ฝน........................มาตกบน พสุธา โกลาหล
พัดต้นไม้ บ้านช่อง ของหมู่ชน.........................ระเนระนาด น้ำท้น ท่วมธานี

    ปราศจากซึ่ง ทางเลือก ถูกเสือกไส.................เผชิญภัย ธรรมชาติ อนาถวิถี
ไม่สามารถ หลบเลี่ยง เบี่ยงชีวี..............................โดนเคราะห์กรรม ย่ำยี บีฑาทัณฑ์

    เมื่อชะตา ชีวี ถูกลิขิต...................................ทางเลือกเหลือ น้อยนิด ยากบิดผัน
เมื่อคติ ชีวิต มาติดพัน....................................ตามเวรกรรม์ บัญชา ท้าทระนง

    ถึงจะต้อง ตกต่ำ เจอลำบาก...........................เหน็ดเหนื่อยยาก (ในความ)พยายาม ตามประสงค์
ถึงพบข้อ ข้องขัด พึงหยัดยง............................จิตจำนง จงเผชิญ เดินหน้าไป

    เมื่อเวรกรรม ตามมา ประสิทธิ์ผล.....................ทางเลือกที่ พิมล ยลยาก-ไร้
ดีแต่ยอม พยายาม คล้อยตามไป.......................แม้จะต้อง ฝืนใจ ไม่(คิด)รำคาญ

    อาจจะต้อง เจ็บปวด อย่างรวดร้าว....................เป็นเคราะห์คราว ชีวาตม์ จงอาจหาญ
ถือโอกาส เรียนรู้ ประสบการณ์..........................สั่งสมความ ชำนาญ ชาญชีวี

    ไม่มีสิ่ง อันใด เลวร้ายเท่า...............................ความคิดเขลา เลือกทาง ย่างวิถี
ออกนอกลู่ นอกทาง สว่าง-ดี............................เดินทางที่ ไร้ศีลธรรม กำกับกมล

    ลม-ฝนหนัก เพียงไร ท้ายที่สุด.........................ย่อมต้องหยุด-ล่วงเลย รำเพยผล
ปวงอุปสรรค หนักหนา ดาหน้าชน......................ย่อมผ่านพ้น ไปได้ ให้พยายามฯ

วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ : กาพย์ยานี๑๑



ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ : กาพย์ยานี๑๑

    ศักดิ์ศรี ความเป็นคน...................ตั้งอยู่บน กุศลสรร(สรร=หา)
เชิดดี ชูชีวัน.................................สรรพสถานการณ์ ฟันฝ่าไป

    มิออก นอกลู่ทาง........................ศีลธรรมสร้าง สว่างไสว
สุทธา มโนมัย...............................หทัยแกล้ว แผ้วมลทิน

    มโนธรรม มุ่งสำนึก.......................ดี-ชั่วศึก ษาถวิล
จริยธรรม กรรมอาจิณ......................จวบชีวิน สิ้นลมปราณ

    ต่อหน้า แลลับหลัง.......................คุณธรรมยัง ยั่งยืนหาญ
ปราศจาก ซึ่งสันดาน.......................อันธพาล มานทรชน

    ศักดิ์ศรี มีในมนุษย์........................ผู้ที่หลุด พ้นโฉดฉล
(ความ)เลวร้าย ไกลกระมล................มิเห็นแก่ตน มนเถื่อนดำ

    ศักดิ์ศรี ย่อมมีได้...........................เมื่อจิตใจ มิใฝ่ต่ำ
(ความ)หยาบช้า เลวระยำ..................สำคัญหมาย สลายมี

    สิ่งชั่ว มิมัวเมา...............................สลักเสลา เพราเพริศศรี
เทิดทูน คุณความดี..........................คือคติ กฤตยา(กฤตยา=เกียรติ)

    จิตใจ ไม่สูงส่ง...............................อย่าทระนง ศักดิ์ศรีหา
ต่อให้ หลายเงินตรา..........................ยศตำแหน่ง ตกแต่งเอยฯ

*มนุษย์=มนะ(ใจ)+อุษยะ(สูงส่ง)=ผู้มีจิตใจสูงส่ง

๑๕ กันยายน ๒๕๖๐